ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีประเทศลาว ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กในเพจส่วนตัวเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 ระบุว่า รัฐบาลไม่อาจเมินเฉยได้ เมื่อปีที่ผ่านมาได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้เช่าที่ดินเพื่อปลูกสวนกล้วยจากนักลงทุนที่ขยายอย่างเด็ดขาด เพราะผลเสียที่ตามมา ทำให้เนื้อที่ดินของประชาชนเต็มไปด้วยสารเคมี ไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่น ๆ อีกได้ แลกกับรายรับค่าเช่า 720 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื้อที่ดิน 1-2 เฮกตาร์ ที่ประชาชนได้รับจากนักลงทุน “สารเคมีในสวยกล้วยได้ทำให้ชาวบ้านภาคเหนือพบกับโรคภัยต่างและเจ็บไข้โดยไม่รู้ตัว น้ำกินน้ำใช้ก็ไม่ปลอดภัยในขณะที่ทำงานในสวยกล้วยจากนักลงทุน” นายทองลุนระบุ ทั้งนี้ในเพจของนายทองลุนยังได้ลงภาพประกอบซึ่งเป็นภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เป็นคนงานลาวกำลังนำผลผลิตกล้วยหอมมาชุบล้างด้วยสารเคมี รวมทั้งภาพเด็กที่อยู่บนหลังแม่ในสวนกล้วย ซึ่งเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารเคมี ด้านนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา ผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา เภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายกล่าวว่า
น่าดีใจแทนประชาชนชาวลาว ที่ผู้นำประเทศสั่งห้ามการปลูกสวนกล้วยหอมซึ่งลงทุนโดยนักธุรกิจชาวจีน เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าเข้มข้นด้วยสารเคมีจนทำให้ธรรมชาติถูกทำลายและประชาชนได้รับสารพิษ จนบางส่วนต้องเจ็บป่วยโดยเฉพาะคนงานที่ทำงานอยู่ในสวนกล้วยหอม นายสมเกียรติกล่าวว่า ตนได้รับคำถามจากเพื่อนบ้านชาวลาวว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงยอมให้สวนกล้วยหอมที่ทางการลาวสั่งห้าม เข้ามาปลูกในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาได้มีการใช้แม่น้ำอิงเป็นพื้นที่เพาะปลูกจนเกิดปัญหาแย่งน้ำกับชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีการปลูกเพิ่มขึ้นในอีกบางพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่ทางจังหวัดเชียงรายยินยอมให้มีการปลูกกล้วยหอมในลักษณะเดียวกับที่ปลูกในประเทศลาว ทั้ง ๆ ที่มีผลตรวจออกมาแล้วว่ามีการใช้สารเคมีบางประเภทที่ห้ามน้ำเข้าประเทศไทย “เรื่องนี้เคยมีการร้องเรียนมายังคณะกรรมการสิทธิฯ และได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ โดยตอนนั้นทางจังหวัดบอกว่าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมาตรวจสอบ แต่ผ่านไปแล้วเป็นปีกลับไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใด ๆ ออกมาเลย ทำให้สังคมสงสัยว่า ตกลงทางการจะเอาอย่างไรกันแน่ เพราะพอทางการลาวสั่งห้ามปลูกกล้วย ก็มีความพยายามจากนักธุรกิจบางส่วนหันเอาวิธีการปลูกกล้วยหอมจากฝั่งลาวเข้ามาขยายผลในประเทศไทยแทนที่” นายสมเกียรติกล่าว
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก: สำนักข่าวชายขอบ : Link>>> http://transbordernews.in.th/home/?p=16753 .