แม่ค้าขายหอยทอดวัย 50 ปี แทบล้มทั้งยืนจู่ๆได้รับหมายศาลฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท ระบุเป็นกรรมการบริษัทขายวัสดุก่อสร้าง สั่งของแล้วไม่จ่ายเงิน ถูกฟ้องรวมกับบริษัทและกรรมการคนอื่นๆ สุดงงไปมีชื่อได้ยังไงก็ไม่รู้ เผยไปแจ้งความตร.ไม่รับแจ้งระบุเรื่องถึงศาลแล้วต้องไปดำเนินการทางศาลเอง ยืนยันไม่เคยรู้เรื่องหรือไปเกี่ยวข้องใดๆ ทุกวันนี้หาเช้ากินค่ำ ขายหอยทอดมาหลายสิบปีแล้ว สุดเครียดไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะต้องไปขึ้นศาลวันที่ 26 มิ.ย.นี้แล้ว
เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากพระสมุห์เจริญ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดดอนมะโนรา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ว่าอยากให้ช่วยเหลือ น.ส.กรรณิกา ธนิกกุล อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/1 ม.5 ต.ขุนพิทักษ์ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี แม่ค้าขายหอยทอดใกล้ๆ กับวัด ที่มีหมายศาลฟ้องเรียกค่าเสียหายถึง 14 ล้านบาท จึงเดินทางไปตรวจสอบพบนางสาวกรรณิกาอยู่ในอาการเครียดพร้อมนำหมายศาลมาให้ผู้สื่อข่าวดู
หมายดังกล่าวออกโดยศาลแพ่งธนบุรี มีบริษัท จรัสรุ่งโรจน์ จำกัด อยู่ที่ เขตบางบอน กทม. จำหน่ายค้าขายเหล็กเส้น เหล็กฉาก และเหล็กรูปพรรณต่างๆ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ธัชพล โลหะกิจ จำกัด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นจำเลยที่ 1, นายวีระศักดิ์ คลองน้อย อายุ 43 ปี อยู่หมู่ที่ 3 ต.จอมปลวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เป็นจำเลยที่ 2, นางสาวกรรณิกา ธนิกกุล อายุ 50 ปี เป็นจำเลยที่ 3 และนายนุกูล คลองน้อย อายุ 68 ปี อยู่ที่หมู่ที่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร เป็นจำเลยที่ 4 ในคดีฐานความผิดสัญญาซื้อขาย เรียกใช้หนี้มูลค่า 14,073,929.62 บาท ดอกเบี้ยอีกจำนวน 181,170.48 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,255,100.10 บาท ณ วันที่ 11 เมษายน 2560 โดยที่ศาลแพ่งธนบุรีได้ส่งหมายเรียกให้เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์ วันที่ 26 มิถุนายน 2560
เนื้อหาสรุปว่าบริษัท ธัชพล โลหะกิจ สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท จรัสรุ่งโรจน์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 รวม 41 ครั้งซึ่งส่งมอบสินค้าที่สั่งซื้อแล้วแต่ไม่ยอมชำระเงิน ทางบริษัท จรัสรุ่งโรจน์ จึงตั้งทนายฟ้องทั้งบริษัทและกรรมการบริษัททั้งหมด
น.ส.กรรณิกากล่าวว่า เรียนจบเพียงแค่ชั้น ป.6 ยึดอาชีพขายหอยทอดบริเวณคลองหน้าวัดดอนมะโนรา มากว่า 20 ปี มีรายได้แค่วันละ 200-300 บาทเท่านั้น ส่วนบ้านก็ปลูกหลังเล็กๆ โดยเช่าที่ดินของญาติกัน อาศัยอยู่กับลูกชายส่วนสามีเสียชีวิตไปแล้ว ล่าสุดลูกชายเพิ่งไปเป็นทหารเกณฑ์ ไม่เคยรู้จักบริษัทอะไรมาก่อนเลย และไม่เคยทำธุรกิจด้วยจึงไม่ทราบว่าไปมีชื่อเป็นกรรมการบริษัทจนถูกฟ้องได้อย่างไร โดยหลังได้รับหมายศาลไปหาตำรวจเพื่อแจ้งความแต่ตำรวจไม่รับแจ้งบอกคดีถึงศาลแล้วต้องไปที่ศาลเท่านั้น
“ตอนนี้ไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรเพราะไม่มีเงินที่จะไปสู้ความ ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเงินเก็บทำงานหาเช้ากินค่ำ อยากจะขอความเมตตาและยืนยันว่าไม่รู้จักหรือข้องเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด ไม่รู้ว่ามีคนแอบนำบัตรประชาชนและเอกสารไปใช้แอบอ้างหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาแค่นำเอกสารไปกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุนค้าขายเท่านั้น” แม่ค้าขายหอยทอดกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า
นางสงวน อู๊ดสกุล อายุ 50 ปี แม่ค้าขายขนมหวานอยู่ติดกับร้านขายหอยทอดกล่าวว่า เป็นเพื่อนสนิทเห็นกันมาแต่เล็กเพราะอายุเท่ากันอยู่บ้านละแวกเดียวกัน และจะชวนกันมาค้าขายอยู่ที่วัดนี้ก็เป็นเวลามากว่า 20 ปีแล้ว ฐานะไม่ร่ำรวยอะไร ไม่เคยเห็นออกไปพบใครนอกจากจะมาขายของ อีกทั้งคนที่ปรากฏในชื่อบริษัทก็ไม่รู้จักและบริษัทนี้ตั้งอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้จักเลย
ด้านพระสมุห์เจริญกล่าวว่า โยมกรรณิกาที่ตกเป็นจำเลยนั้น หลังจากที่ได้รับเอกสารก็นำเข้ามาพูดคุยและปรึกษา อาตมาเห็นโยมกรรณิกาตั้งแต่ยังไม่ได้บวชเป็นพระ จะเห็นพายเรือขายของอยู่ภายในคลองหน้าวัด เกิดสงสารและเห็นใจจึงได้สร้างเพิงให้ค้าขายกัน ไม่เชื่อเลยว่าโยมกรรณิกาจะไปเป็นกรรมการหรือรู้จักกับคนในบริษัทนั้น เพราะเห็นนั่งขายอยู่ที่นี่ทุกวัน รายได้ก็น้อยเพราะคนมาทำบุญที่วัดไม่ค่อยมากนักจะดีก็ช่วงวันหยุดเท่านั้น
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก ข่าวสด https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_342533