ตู่สั่งถอย-ชะลอจับ นั่งแค็บ กระบะท้ายด้วย หลังสงกรานต์ ค่อยว่ากันใหม่ โซเชี่ยลอำเละ ทั้งคลิป-ทั้งรูป ฮึ่มฟันสารวัตร โพสต์เฟซจวก

บิ๊กตู่ถอยแล้ว สั่งชะลอจับคนนั่งแค็บ และท้ายกระบะ ที่ขอนแก่นจับได้มากกว่า 100 ราย ทั้งไม่คาดเข็มขัดนิรภัยและนั่งแค็บ-กระบะหลัง ปรับรวดรายละ 200 บาท ชาวเขาโวยทำเดือดร้อน เผยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีรถแค่คันเดียวเวลาไปหาหมอ ทำธุระก็ต้องติดรถกันเข้าเมือง แถมไม่มีรถสาธารณะ ออกกฎหมายอย่างนี้ ก็ต้องเดินอย่างเดียว กลุ่มรับเหมาก่อสร้างก็เกิด ปัญหา ชาวเน็ตทำคลิปล้อเลียนอื้อ ตร.ประชุมยันต้องจับ ไม่พอใจก็ให้ไปแก้กฎหมาย เผยผ่อนผันให้นั่งแค็บได้ตามดุลพินิจเจ้าหน้าที่ แนะให้ไปทำโครงหลังกระบะจดทะเบียนใหม่ จะได้ไม่ผิดกฎหมาย ผู้การชุมพร สั่งสอบวินัย สารวัตรโพสต์เฟซบุ๊กแย้ง

จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมตรวจจับ ผู้ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งในส่วนผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกที่นั่ง ตามคำสั่งม.44 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ในวันที่ 5 เม.ย.เป็นวันแรก รวมทั้งห้ามนั่งในกระบะหลัง และในแค็บของรถกระบะ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา ที่ปรึกษา (สบ10) พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ประชุมร่วมกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค (บช.ภ.) 1-9 ศชต. และหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อวางมาตรการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 และการบังคับใช้กฎหมายจราจร โดยใช้เวลาประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง

พล.ต.ท.วิทยากล่าวภายหลังประชุมว่า เน้นย้ำการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด หลังจากมีคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14-15/2560 เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายจราจรของรถยนต์ ส่วนบุคคลและรถสาธารณะ และให้เริ่มบังคับใช้จริงจังตามคำสั่งดังกล่าวและกฎหมายจราจร ที่เกี่ยวข้องเป็นวันแรก ทั้งเรื่องจยย.ไม่สวมหมวกนิรภัย การไม่คาดเข็ดขัดนิรภัยในรถยนต์ ทุกประเภท การไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เมาแล้วขับ และขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งรถส่วนบุคคลและรถของหน่วยงานราชการ หากพบผู้ฝ่าฝืนไม่คาดเข็มขัด มีโทษปรับตามกฎหมายไม่เกิน 500 บาท อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีนโยบายจะผ่อนปรนให้ช่วงแรกจะมี โทษปรับ 100-200 บาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ใช้ดุลพินิจ เพื่อตักเตือนประชาชนก่อน

พล.ต.ท.วิทยากล่าวอีกว่า ส่วนการห้ามใช้รถผิดประเภท หรือการบรรทุกคนบริเวณท้ายกระบะ รวมแค็บหลังของรถกระบะแบบ 2 ประตู เจ้าหน้าที่จะผ่อนปรนการบรรทุก ผู้โดยสารภายในแค็บเป็นกรณี หากพิจารณาว่ามีความจำเป็นและเดินทางไม่ไกล จะใช้การตักเตือน แต่ถ้าบรรทุกในเชิงรับจ้างขนส่ง เช่น รถที่ดัดแปลงให้คนนั่ง 2 ชั้นตรงกระบะท้าย จะจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้หากเจ้าของรถไปติดตั้งเข็มขัดนิรภัยที่แค็บหลัง ก็ต้องผ่านการตรวจรับรองประเภทรถจากกรมขนส่งทางบกก่อน ไม่เช่นนั้นก็ถูกจับ ทั้งนี้ช่วงเริ่มต้นในเทศกาลสงกรานต์ จะกวดขันการไม่อนุญาตให้คนนั่งท้ายกระบะตั้งแต่ต้นทาง

“แม้กระแสสังคมระบุว่ากฎหมายห้ามนั่งกระบะหลังและแค็บไม่เอื้อกับคนรายได้น้อยนั้น ก็ต้องบอกว่าต้องไปแก้กฎหมาย ในเมื่อกฎหมายออกมาเช่นนี้ ตำรวจต้องทำตาม บังคับ ใช้กฎหมายนี้ จะบอกให้ตำรวจทั่วประเทศละเว้นกฎหมายคงไม่ได้” พล.ต.ท.วิทยากล่าว

ที่จุดตรวจวินัยจราจร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท เขตพญาไท กทม. พล.ต.ท. วิทยา ผช.ผบ.ตร. เผยว่า ในการจับปรับกรณีที่ผู้โดยสารไม่รัดเข็มขัดนิรภัย หากคนขับแจ้งเตือนให้คาด แต่ผู้โดยสารไม่รัดเข็มขัด จะถือว่า ไม่มีความผิด ปรับเฉพาะผู้โดยสารเท่านั้น สำหรับรถโดยสารสาธารณะของขสมก. และรถร่วมเอกชนที่วิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ถือว่าเป็นรถประเภทที่ได้รับการยกเว้นจากกรมการขนส่งทางบก เพราะเป็นรถที่วิ่งในความเร็วต่ำ และอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เป็นอันตราย ส่วนกรณีการใช้รถกระบะหรือเข้าไปนั่งในแค็บ ความผิดจะตกอยู่ที่ผู้ขับรถไม่ใช่คนที่เข้าไปนั่งในแค็บหรือท้ายกระบะ หากประชาชนที่มีรถกระบะและต้องการบรรทุกคน ต้องไปต่อเติมหลังคาและติดตั้งที่นั่ง 2 แถว และนำรถยนต์ไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก เป็นรถโดยสารสาธารณะ 7 ที่นั่งขึ้นไปแต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง จึงจะไม่ผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างนี้บริเวณ อนุสาวรีย์ชัยฯ ช่วงเวลา 13.00-15.00 น. เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดทั้งหมด 50 ราย แบ่งความผิดออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายวินัยจราจร 20 ราย 2.ผู้ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 30 ราย

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงแนวทางแก้ไขปัญหากรณีที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดห้ามผู้โดยสารนั่งกระนั่งหลัง และแค็บของกระบะ 2 ประตูว่า อยากแนะนำให้ประชาชนเดินทางด้วยการใช้รถโดยสารสาธารณะแทน เช่น รถตู้โดยสารสาธารณะ หรือรถเช่าเหมาคัน รถแทน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง ส่วนมาตรการห้ามนั่งกระบะท้ายและกระบะแค็บนั้น เป็นกฎหมายที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตำรวจ โดยกรมการขนส่งทางบกก็มีหน้าที่ที่จะช่วยการดูแลให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบ ร้อยในการเดินทางตามนโยบายของรัฐบาล

ที่จ.ชุมพร พ.ต.อ.วิมล พิทักษ์บูรพา รอง ผบก.ภ.จว.ชุมพร กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.เอกราช หุ่นงาม สว.อก.สภ.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการห้ามนั่งกระบะและแค็บรถปิกอัพ ว่าควรรับฟังเหตุผลจากผู้ที่เดือดร้อน โดยเฉพาะคนจน และให้มองถึงมุมมองความประหยัดและการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า และน่าห้ามเรื่องความเร็วมากกว่าว่า ไม่เหมาะสม ตำรวจต้องมีหน้าที่รักษากฎหมายตามนโยบายรัฐบาล ไม่ใช่ต่อต้านกฎหมาย พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก.ภ.จว.ชุมพร สั่งให้พ.ต.ท.เอกราช ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และตั้งกรรมการเพื่อสอบสวนทางวินัย แม้ระบุเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะประชาชนคนหนึ่ง แต่มาโพสต์ใน เฟซบุ๊กที่เป็นสาธารณะทั้งที่ตนเองยังเป็นตำรวจอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง

ที่ถนนสายสะพานปลา ฝั่งขาเข้าตัวเมืองระนอง ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง ตำรวจจราจร สภ.เมืองระนองตั้งด่านกวดขันวินัยจราจร จับกุมรถยนต์กระบะที่ผู้ขับขี่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย และมีการเปรียบเทียบปรับในอัตรา 100 บาท ไม่เกิน 500 บาท ส่วนของรถยนต์กระบะที่บรรทุกผู้โดยสารในกระบะหลัง ในระยะใกล้ในเขตชุมชน เจ้าหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือน

ที่ จ.ขอนแก่น พ.ต.อ.นพดล เพ็ชร์สุทธิ์ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น นำกำลังตั้งจุดตรวจบริเวณสี่แยกโนนตุ่น เส้นทางเลี่ยงเมืองสายขอนแก่น-กาฬสินธุ์ เพียง 2 ชั่วโมง จับกุม ผู้กระทำความผิดมากกว่า 100 ราย ทั้งหมดถูกปรับรายละ 200 บาท

นายบัณฑิต ดอนนาง อายุ 65 ปี ชาว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ที่ถูกจับเพราะมีคนนั่งท้ายกระบะเผยว่า ตนไม่ทราบกฎหมายห้ามนั่งท้ายกระบะรถ จึงพาญาติพี่น้องมาซื้อของไปทำบุญให้ญาติที่กำลังจะบวช หากพูดตามความปลอดภัยก็เห็นด้วย แต่ประชาชนเดือดร้อน อยากให้เจ้าหน้าที่อนุโลมให้ด้วย เพราะชาวบ้านบ้านนอกส่วนใหญ่ไม่มีเงินจะขึ้นรถโดยสาร เมื่อมีรถเข้ามาในเมืองก็ขออาศัยกันมาหลายๆ คน ส่วนใหญ่ที่มาด้วยกันก็เป็นเครือญาติกันทั้งนั้น

นายธงไชย มนตรี ชาวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า อยากให้ทบทวนเรื่องของกระบะที่มีแค็บ หลายครอบครัวซื้อรถที่มีลักษณะดังกล่าวมาแล้ว จากนี้ไปจะทำอย่างไร เพราะนั่งแค็บไม่ได้ และไม่สามารถนั่งกระบะตอนท้ายของรถ โดยในชีวิตประจำวันคนบ้านนอกอย่างเรา จะนั่งรวมกันมาเพื่อมาทำงานในเมือง หรือนั่งมาเพื่อมาติดต่อราชการ เพราะพื้นที่ตำบลรอบนอกหรือเขตชานเมืองบางคนเช่ารถเหมารถมาทำพาสปอร์ต ทำใบขับขี่ ช่วงปิดเทอมก็พาบุตรหลานมาเที่ยว มาสอบแข่งขันเข้า ม.1 และ ม.4 มาทำงานแบบหาเช้ากินค่ำ แล้วจะให้ทำอย่างไร

ที่จ.พิษณุโลก มีผู้ได้รับผลกระทบเป็น คนงานก่อสร้างที่เดินทางมาจากอำเภอรอบนอกเข้ามาทำงานก่อสร้างในตัวเมืองพิษณุโลก ประเภทเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งทั้ง อ.บางระกำ อ.พรหมพิราม อ.บางกระทุ่ม รวมถึง อ.กงไกร ลาศ จ.สุโขทัย โดยแรงงานก่อสร้างเหล่านี้จะโดยสารรถยนต์กระบะประเภทแค็บ ส่วนมากจะต่อคอกด้านข้าง มีที่นั่งพาดขวาง ให้คนงานนั่งกระบะจากหมู่บ้านเข้ามาทำก่อสร้างทั่วไป

นายนภดล มั่งระวัง อายุ 50 ปี เจ้าของรถยนต์กระบะแค็บและเป็นหัวหน้าคนงาน เปิดเผยว่า ต่อไปคงลำบากมาก พวกตนทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง และต้องใช้รถยนต์ รับส่งคนงานจากหมู่บ้านมาทำงานในเมืองพิษณุโลกที่เป็นแหล่งงานใหญ่ ทุกเช้าประมาณ 07.00 น.ก็จะตระเวนรับคนงานในหมู่บ้าน ขึ้นรถกระบะของตนมาที่พิษณุโลก เย็นก็รับกลับไปส่ง ถ้าบังคับใช้อย่างจริงจังก็คงต้องไปต่อเติมเป็นหลังคา

นายนิภพ พุ่มอ่วม อายุ 39 ปี หัวหน้าคนงานชาว อ.กงไกรลาศ กล่าวว่า ถ้าห้ามนั่งแค็บ นั่งกระบะ จะเดือดร้อนมากทั้งคนงานและ ตัวของตนเอง อาจจะต้องหยุดงาน ตกงาน พวกตนเป็นเกษตรกรที่ว่างเว้นจากอาชีพทำนา ทำการเกษตร ก็มาใช้แรงงาน ต่อไปคงเดือดร้อน กันทั่วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดทั้งวันที่มีการตั้งด่านกวดขันวินัยจราจร ห้ามนั่งในแค็บกระบะ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวาง บางคนทำคลิปเอาลูกตัวน้อยไปนั่งในกล่องใส่ของวางในแค็บ พร้อมบอกว่าหาก มีตำรวจเรียกก็ให้ก้มหัวลงต่ำๆ เพราะไม่มี เข็ดขัดนิรภัย อาจถูกจับปรับ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวในช่วงสงกรานต์ได้ พร้อมบอกว่าแม้จะดูตลกแต่ก็เศร้าลึกๆ

นอกจากนี้ ยังมีชาวเขาบนดอยโพสต์คลิปแสดงความอัดอั้นว่าในหมู่บ้านบนดอยมีรถอยู่คันเดียว รถประจำทางก็ไม่มี เวลาเข้าเมือง ทำธุระ หาหมอ ก็ไปด้วยกันหลายๆ คน รถประจำทางก็ไม่มี ถ้าไม่ให้ขึ้นแค็บ นั่งท้ายกระบะ ก็ต้องเดินไป คนออกกฎหมายคนหนึ่งซื้อรถได้หลายคัน แต่คนบนดอยบางหมู่บ้านมีรถเพียงคันเดียว

เมื่อเวลา 18.30 น. ที่ ตร. พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต. สมชาย เกาสําราญ ผบก.ทล. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบก.จร. พล.ต.ท.วิทยา พล.ต.ต. จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. นายสนิท พรหม วงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมแถลงเนื่องมาจากการเข้มงวดตรวจจับรถกระบะ ตามกฎหมายจราจร เรื่องการห้ามนั่งท้ายกระบะ และห้ามนั่งในแค็บ

พล.ต.อ.เดชณรงค์ กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องออกกฎหมายดังกล่าว ทุกคนคงสามารถจำได้ถึงเหตุการณ์รถกระบะ และรถตู้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย เกิดจากการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และนั่งกระบะตอนท้าย หลังจากเริ่ม ดีเดย์ใช้กฎหมาย มีการสื่อสารผ่านโซเชี่ยลมีเดีย ทางรัฐบาลมอบหมายให้ตนทำความเข้าใจ โดยปีนี้ นายกฯ เป็นห่วงในเรื่องวินัยจราจรอย่างยิ่ง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและสูญเสียน้อยที่สุด ดังนั้นการเดินทางขนส่งสาธารณะ เรื่องรถตู้ ต้องคาดเข็มขัดทุกที่นั่งเหมือนที่มีคำสั่งไป

ส่วนที่สอง คือ การใช้รถกระบะ ทั้งสแปซแค็บ และกระบะที่ไม่มีหลังคา ช่วงนี้จะผ่อนผัน อนุโลมให้ก่อน และจะพิจารณาอีกครั้งหลังสงกรานต์ โดยให้นโยบายไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ให้ทำความเข้าใจกับประชาชนก่อน

“ประชาชนเป็นศูนย์กลาง อะไรที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน เราจะมาดูกันอีกครั้ง ช่วงนี้จะเป็นการสร้างความเข้าใจ สร้างความรับรู้ประชาชน ส่วนเรื่องอื่นเรื่องเมาแล้วขับ การใช้ความเร็ว ก็ต้องมีการเข้มงวดในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน ขอเน้นย้ำว่า การนั่งในกระบะตอนท้ายจะต้องไม่นั่งบนขอบกระบะ และจะต้องไม่ใช้ความเร็ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนอาสามาทำงานเหนื่อยเพื่อให้ประชาชนปลอดภัย”

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก    ข่าวสด  https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_286462

Loading

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *