09:20 น. ครูจอมทรัพย์เดินทางมาถึงศาลจังหวัดนครพนม ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า มั่นใจ ยืนยันในความรู้สึกของตัวเอง มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ก่อนจะเดินเข้าห้องพิจารณาคดี ส่วนพยานฝ่ายผู้คัดค้านทยอยเดินทางเข้ามายังห้องพิจารณาคดีที่ 3 ชั้น 2 ที่ศาลจังหวัดนครพนม เพื่อร่วมเบิกความต่อหน้าศาลในการสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสิ้น 6 ปาก ประกอบด้วย
2.พ.ต.อ.สมทรัพย์ จันทะสาร
3.พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชมศรีมหาราช
โดยมี ร.ต.อ.ไชบัญชา วังคะชาต (ทำหน้าที่เป็นทนายความฝ่ายผู้คัดค้าน)
ซึ่งกระบวนการสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านจะเริ่มต้นในเวลา 09:30 น. อย่างไรก็ตามคาดว่ากระบวนการสืบพยานจะแล้วเสร็จภายในวันนี้ทั้ง 6 ปาก
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลจังหวัดนครพนม ได้มีคำสั่งพิจารณาสืบพยานวันที่สองของฝ่ายผู้ร้อง ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยมีพยานฝ่ายผู้ร้องรวมทั้งสิ้น 9 ปาก ใช้เวลาในการสืบพยานรวม 2 วัน ระหว่างวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2560
และศาลได้เริ่มสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านในช่วงบ่าย ที่ห้องพิจารณาคดี 3 ชั้น 2 ศาลจังหวัดนครพนม ในการรื้อฟื้นคดีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูโรงเรียนม่วงไข่ประชาสงเคราห์ใน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ซึ่งนางจอมทรัพย์ได้รับโทษแล้วรวม 1 ปี 6 เดือน ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เมื่อปี 2548
โดยในวันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2560) ศาลได้เริ่มกระบวนการนั่งบัลลังก์พิจารณาสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสิ้นรวม 9 ปาก เสร็จสิ้นในช่วงเวลาประมาณ 23:00 น. และจะมีการสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้านต่อในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งจะมีพยานที่เข้าเบิกความรวมทั้งสิ้น 6 ปาก
สำหรับพยานฝ่ายผู้คัดค้านที่ถูกจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้น”นายเสริฐ รูปสะอาด” ที่ได้ให้การต่อศาลว่ารับได้รับการว่าจ้างด้วยเงินจำนวนสองแสนบาทให้มารับผิดแทน
หากเราย้อนกลับไปติดตามเรื่องราวภายหลังจากที่นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ถูกศาลตัดสินให้จำคุกเมื่อปี 2556 นายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง(เพื่อนของครูจอมทรัพย์) ได้พยายามติดตามผู้กระทำความผิดตัวจริง
และได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ว่านายสับ วาปี เป็นผู้ที่ขับรถชนตัวจริงและเป็นผู้ครอบครองรถหมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร
แต่ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่านายสับ วาปี ได้ขายรถดังกล่าวก่อนปี 2548 โดยขายรถให้กับนายเสริฐ รูปสะอาด จึงเกิดเป็นข้อสงสัยว่านายเสริฐ รูปสะอาด อาจเป็นคนที่ขับรถชนคนตายตัวจริง แต่ทั้งนี้จากคำให้การของ นางเริม อุคำพันธ์ (ภรรยาของนายเสริฐ) ได้ยืนยันว่าสามีของตนขับรถไม่เป็น
นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา นายสับ วาปี ได้เดินทางไปยัง สภ.นาโดน และได้รับสารภาพว่าเป็นคนขับรถชนคนตาย จากข้อมูลดังกล่าวทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าใครกันแน่คือคนขับรถชนที่แท้จริง
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกมาเปิดเผยหลักฐานว่า ในคดีดังกล่าวมีผู้ออกมารับผิด 2 คน โดยคนแรกคือ”นายเสริฐ รูปสะอาด” โดยมายอมรับผิดกับตำรวจ สน.เรณูนคร เมื่อปี 2556 แต่ต่อมาในปี 2557 พบว่า”นายสับ วาปี” ก็เข้ามารับสารภาพผิดกับตำรวจ สภ.นาโดน ว่าเป็นคนขับรถชนคนตายด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดคดีดังกล่าวสามารถแบ่งเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆได้ดังนี้
1. นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร (ครูจอมทรัพยฟ์) เป็นคนขับรถชนจริงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ ดังกล่าวนี้ทางกระทรวงยุติธรรมกำลังพิสูจน์หากข้อเท็จจริงอยู่
2. ใครเป็นคนชนกันแน่ และใครจ้างขบวนการติดคุกแทน เรื่องนี้คงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องสืบหาตัวคนร้ายมาให้ได้
หลังจากที่ นายอุบล ได้เดินทางออกมาจากชั้นศาล กล่าวว่า ตนเองได้ซื้อรถจากนายรัญ ซึ่งนายรัญเป็นญาติของนายสับ วาปี ซึ่งต่อมาได้ขายเป็นของเก่าในราคา 15,000 บาท ทั้งนี้ตนรู้สึกสบายใจมากที่ได้พูดวามจริงออกไปทุกอย่างแล้ว
ส่วน ครูจอมทรัพย์ หลังจากที่เดินออามาจากชั้น ไม่ได้ให้การใดๆ นอกจากกล่าวขอบคุณทุกๆ หน่วยงานรวมถึงผู้สื่อข่าวทุกท่าน ส่วนรายละเอียดต่างๆ คุณมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ รองประทาน (ศยธ.) ได้กล่าวว่า หลังจากที่สืบพยาน 2 ปาก คือ นางทัศนีย์ กับนายทองเรศ ทั้งสองคน ยังให้การยืนยันว่า ทะเบียนรถที่ชน คือ บ. ใบไม้ 56 ไม่ระบุจังหวัด แล้วคนที่ขับชนเป็นผู้ชาย ซึ่งค่อนข้างหนักแน่น ส่วนการสืบพยานพนักงานอัยการตำรวจ ทั้งหมด 9 ปาก พยานส่วนใหญ่ที่นำมาแสดงยังเป็นพยานบอกเล่า ไม่ใช่พยานเอกสารทางราชการเป็นการบอกเล่าต่อๆ กันมา ซึ่งไม่สามารถระบุ วัน เวลา ได้ และไม่ใช่พยานทางวิทยาศาสตร์ เป็นพยานบุคคลล้วนๆ ซึ่งพยานแต่ละปากพูดแตกต่างกัน พูดวกไปวนมา แต่ก็ต้องดูการเชื่อมโยงในวันนี้ คือ 10 ก.พ. 2560 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ของฝั่งพนักงานอัยการ ซึ่งมีพนักงานสอบสวน 6 ปาก มีทั้งตำรวจสอบสวนคดีเดิม และคดีที่จะเชื่อมโยงกับเมื่อวาน วันที่ 9 ก.พ. 2560 ที่ให้การไว้ ได้มากน้อยแค่ไหน
แหล่งข่าวจากชัดประเด็นจริง รายงาน