เกิดเหตุปะทะกันถึง 2 ครั้ง ระหว่างกองกำลังปะหล่อง TNLA (Ta’ang National Liberation Army ) และพันธมิตรทางทหารอย่างกองทัพรัฐฉานเหนือ (Shan State Army-North) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเมืองจ้อกเม ทางเหนือของรัฐฉาน หลังการเจรจาของทั้งสองฝ่ายล้มเหลว สาเหตุมาจากกองทัพรัฐฉานเหนือต้องการเดินทางผ่านพื้นที่ของปะหล่อง พันเอก ทาโบนจ่อ โฆษกของ TNLA เปิดเผยว่า การปะทะของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นเนื่องจากทางกองทัพรัฐฉานเหนือต้องการเดินทางไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ผ่านพื้นที่ควบคุมของ TNLA แต่ทาง TNLA ไม่อนุญาตเนื่องจากเห็นว่า สถานการณ์ในพื้นที่ยังมีการสู้รบระหว่างทาง TNLA กับกองทัพรัฐฉานใต้ RCSS/SSA และกองทัพพม่า แต่การเจรจาดังกล่าวไม่เป็นผล โดยทาง TNLA ให้ข้อมูลกับสื่อพม่าว่า เนื่องจากทางกองทัพรัฐฉานเหนือยังคงเดินทางข้ามพื้นที่ของ TNLA จนเกิดการปะทะกันขึ้น ทั้งนี้ เป็นที่ทราบดีว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นพันธมิตรทางทหารที่ดีต่อกัน และเป็นการปะทะกันครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าพื้นที่ทางเหนือของรัฐฉานอย่างเมืองจ้อกเม เมืองน้ำตู้ เมืองม่านต้งและเมืองมีดเป็นพื้นที่ควบคุมของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพรัฐฉานเหนือได้เคลื่อนย้ายออกจากเมืองม่านต้งและเมืองมีดหลังทาง TNLA และกองทัพรัฐฉานใต้ RCSS/SSA ปะทะกัน สื่อของไทใหญ่รายงานจากคำกล่าวอ้างของทหารไทใหญ่เหนือว่า ทาง TNLA เป็นฝ่ายโจมตีทหารไทใหญ่เหนือระหว่างที่อยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องตรงกันที่จะใช้แนวทางเจรจาเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันอีกในอนาคต ภาพ MYO MIN SOE/ Irrwaddy ด้านสถานการณ์ผู้พลัดถิ่นภายในที่อยู่ในรัฐคะฉิ่นทางเหนือสุดของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มล่าสุดจำนวน 2 พันคน ที่หนีการสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและทหารคะฉิ่นจากเมืองหว่ายหม่อ มาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้าน ไฉ่ยัง อำเภอไลซา เขตควบคุมของกองทัพคะฉิ่น KIA ตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่า ขณะนี้ประชาชนกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับภัยหนาวเย็น เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่หนาวติดลบ 4 องศาในตอนกลางคืนและมีหิมะตก ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเนื่องจากระหว่างเกิดสงครามต้องหนีเอาชีวิตรอด ไม่ทันได้นำเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย ด้านผู้ลี้ภัยรายหนึ่งเปิดเผยว่า ไม่เคยเผชิญกับอากาศหนาวเช่นนี้มาก่อนในชีวิต และอยากให้ถึงตอนกลางคืน เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย ภาพ MYO MIN SOE/ Irrwaddy ที่มา Irrawaddy แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก : สำนักข่าวชายขอบ : Link>>> http://transbordernews.in.th/home/?p=16077 .