เปิดคำพิพากษา ทำไม?… ประหาร “หมอนิ่ม”

คำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี คดีสังหาร”เอกซ์” จักรกฤษณ์ อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติ ทำไมศาลสั่งประหาร”หมอนิ่ม” นิธิวดี

          เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดมีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาคดีฆ่านายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม  อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย  มีรายละเอียดคำพิพากษา ที่น่าสนใจดังนี้ …

          ศาลจังหวัดมีนบุรี  ได้มีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์, นายมานพ (บิดานายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม) โจทก์ร่วม, นางบุญคิด มารดานายจักรกฤษณ์ ผู้ร้อง ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย จำเลยที่ 1, นางสุรางค์ ดวงจินดา  จำเลยที่ 2, น.ส.นิธิวดี หรือนิ่ม ภู่เจริญยศ จำเลยที่ 3, นายสันติ หรืออี๊ด ทองเสม จำเลยที่ 4, นายธวัชชัย หรืออ้น เพชรโชติ จำเลยที่ 5 เรื่องความผิดต่อชีวิต, ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ, ลหุโทษ และขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4.4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี  จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

          ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ผู้ตาย (เอ็กซ์ จักรกฤษณ์) อยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 3 (หมอนิ่ม) มีบุตรด้วยกัน 2 คน  ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2556 นายจักรกฤษณ์ถูกคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย

          คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่

          โจทก์มี น.ส.วรพรรณภูรี หรือแหม่ม มนตรีอารีกุล เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า เป็นลูกค้าคลินิกรักษาสุขภาพความงามของจำเลยที่ 3 และรู้จักจำเลยที่ 3 มานาน 9 ปี  ต่อมาประมาณต้นปี 2556 พยานทราบจากสื่อโทรทัศน์ว่า ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีและขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณา จึงพูดคุยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจำเลยที่ 3 ซึ่งปรึกษาขอให้หาคนมาช่วยปรามผู้ตายไม่ให้ทำร้ายจำเลยที่ 3 และช่วงเดือนสิงหาคม 2556 นายฐปนวัฒน์ จิ้วไม้แดง ญาติของพยานพาจำเลยที่ 4 มาช่วยติดตามหนี้ให้ ระหว่างทางจำเลยที่ 3 โทรศัพท์หาพยาน จึงชักชวนนายฐปนวัฒน์ กับจำเลยที่ 4 ไปพบจำเลยที่ 3  ที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์ในช่วงบ่าย

          จำเลยที่ 3 พักรักษาในห้องผู้ป่วยพิเศษ พยานแนะนำจำเลยที่ 3 ให้รู้จักกับนายฐปนวัฒน์ และจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 3 นั่งโซฟาคุยกับนายฐปนวัฒน์และจำเลยที่ 4 พยานเห็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท รวม 6 มัด ประมาณ 6 แสนบาท วางอยู่ที่บริเวณโต๊ะภายในห้อง จำเลยที่ 3 บอกนายฐปนวัฒน์กับจำเลยที่ 4 ให้ช่วยจัดการผู้ตายให้หน่อย และใช้เวลาพูดคุยประมาณ 10 นาทีเสร็จ แล้วจำเลยที่ 4 เก็บเงินบนโต๊ะใส่ซองสีน้ำตาล จำเลยที่ 3 บอกกับนายฐปนวัฒน์และจำเลยที่ 4 ว่า ผู้ตายใช้รถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ สีดำ หมายเลขทะเบียน  ก 2223

          น.ส.วรพรรณภูรี  ยังเบิกความอีกว่า เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าตนเองเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และตำรวจขอให้ช่วยเหลือจำเลยที่ 3 พยานจึงให้การในชั้นสอบสวนไปตามที่ถูกขอร้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่าผู้ตาย โดย น.ส.วรพรรณภูรี และจำเลยที่ 4 เดินทางไปบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อรับเงิน 6 แสนบาท

เปิดคำพิพากษา ทำไม?... ประหาร “หมอนิ่ม”

ศาลเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความของ น.ส.วรพรรณภูรี ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ถ้อยคำที่ได้มีลักษณะซัดทอดผู้กระทำความผิดอื่นด้วยกัน และมีการเปลี่ยนข้อเท็จจริงหลายครั้งตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา การพิจารณารับฟังพยานโจทก์ปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและต้องพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ

          โจทก์ยังมี พ.ต.อ.นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับคำสั่งให้ร่วมสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายคดีนี้ สรุปได้ว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารผู้ตายเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว ซึ่งในประเด็นดังกล่าวโจทก์มี น.ส.โชติกา นุชนารถ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ตายคบหามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพยาน ผู้ตายเคยพาพยานไปที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 จนเป็นที่ไม่พอใจของจำเลยที่ 3 ผู้ตายเคยพาพยานมาค้างที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 ผู้ตายนัดหมายให้พยานมาพบในวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 เนื่องจากผู้ตายมีนัดถ่ายทำรายการกีฬา แต่พยานไม่อยากมา ผู้ตายโทรตามจนพยานมาที่บ้านและถูกผู้ตายทำร้ายและทำลายทรัพย์สินแล้วพาไปสนามกีฬาเพื่อถ่ายทำรายการ

          ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถอีกคันตามไป ระหว่างที่ผู้ตายถ่ายทำรายการให้พยานนั่งเฝ้ากระเป๋าเงินและทรัพย์สิน พยานรู้สึกหิวน้ำกำลังจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงิน จำเลยที่ 3 เห็นจึงเข้าไปด่าว่าพยานจนไม่กล้าหยิบเงิน เมื่อพักถ่ายรายการจำเลยที่ 3 เข้าไปฟ้องผู้ตายว่า พยานจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงินของผู้ตาย แต่กลับถูกผู้ตายไม่พอใจผลักศีรษะของจำเลยที่ 3 และยังท้าทายจำเลยที่ 3 อีกว่าหากไม่พอใจเลิกกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสีหน้าไม่พอใจ

          ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้หญิงอื่นมาค้างที่บ้าน, การไม่ให้เกียรติจำเลยที่ 3 ผลักศีรษะจำเลยที่ 3 และท้าทายให้เลิกกันต่อหน้าผู้หญิงอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย ย่อมสร้างความขุ่นเคืองและนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายต่อความอดกลั้นและอดทนต่อพฤติกรรมของผู้ตายที่มีปัญหาติดยาเสพติด ความเจ้าชู้ และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและจิตใจจำเลยที่ 3 ดังจะเห็นลำดับเหตุการณ์ว่า หลังจากนั้น จำเลยที่ 3 พามารดาผู้ตาย ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 3 ถูกผู้ตายทำร้ายร่างกายจนมีการนำหมายค้นไปตรวจค้นที่บ้านของผู้ตายและพบการกระทำความผิดอื่นอันนำไปสู่การออกหมายจับและมีการควบคุมตัวผู้ตาย

          และจากคำเบิกความของเลขาฯ จำเลยที่ 3 น.ส.สุธีษา แก้วคำ ซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่า คลินิก ซึ่งตั้งอยู่ที่ ซ.รามคำแหง 174 เป็นกิจการที่เป็นของผู้ตายและจำเลยที่ 3 ผู้ตายมักจะตรวจสอบบัญชีของคลินิกอยู่เป็นประจำ ซึ่งตามหนังสือรับรองของบริษัท ปริ๊นเซสไอดอล มีทุนจดทะเบียน 5,000 หุ้น ผู้ตายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 2,750 หุ้น จำเลยที่ 3 ถือหุ้นเพียง 750 หุ้น แต่ในวันที่ 27 กันยายน 2556 จำเลยที่ 3 ยื่นจดทะเบียนตั้งบริษัท ชมชนะ จำกัด ซึ่งมีที่ตั้งเดียวกับบริษัทเดิมและมีทุนจดทะเบียน 1 หมื่นหุ้น จำเลยที่ 3 ถือหุ้น 9,000 หุ้น ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 3 กำจัดผู้ตายออกจากการเป็นเจ้าของกิจการคลินิก จำเลยที่ 3 ทราบถึงอุปนิสัยใจคอของผู้ตายดีอยู่แล้วว่า หากผู้ตายทราบเรื่องที่จำเลยที่ 3 กระทำ ย่อมต้องไม่พอใจและอาจทำร้ายจำเลยที่ 3 ได้ การที่จำเลยที่ 3 ว่าจ้างกลุ่มข้าราชการทหารอากาศรักษาความปลอดภัยก็น่าเชื่อว่าเพื่อป้องกันอันตรายจากผู้ตาย

          จากลำดับเหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 3 ย่อมเป็นมูลเหตุจูงใจจำเลยที่ 3 ในการสังหารผู้ตายได้

          ประกอบกับทางการสืบสวนของ พ.ต.อ.นพศิลป์ เบิกความยืนยันว่า จากการถอดข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า หมายเลข 08-7087-XXXX น.ส.วรพรรณภูรี เป็นผู้ใช้งาน และหมายเลขดังกล่าวนี้ น.ส.วรพรรณภูรี มีการใช้งานติดต่อกับ จำเลยที่ 3 ช่วงก่อนเกิดเหตุ และใช้ติดต่อกับเฉพาะกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด และเมื่อ น.ส.วรพรรณภูรี ถูกนำตัวมาสอบถามข้อเท็จจริงในคราวแรก น.ส.วรพรรณภูรี ก็ยอมรับและยืนยันตั้งแต่ต้นว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้จ้างวาน จำเลยที่ 4 จัดหามือปืนสังหารผู้ตายในราคา 6 แสนบาท มีการจ่ายเงินสดในวันจ้าง เมื่อจำเลยที่ 4 จัดหามือปืนได้แล้วแจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ และให้จำเลยที่ 3 แจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ตายให้จำเลยที่ 4 ทราบ

          โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 09-4447-XXXX แจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ตายให้ น.ส.วรพรรณภูรี ทราบ ทางหมายเลขโทรศัพท์ 08-7087-XXXX และใช้หมายเลขดังกล่าวแจ้งให้จำเลยที่ 4 ทราบอีกที เชื่อว่า น.ส.วรพรรณภูรี ได้ให้ข้อเท็จจริงไปในขณะที่ถูกนำตัวมาสอบถามในตอนแรกยังไม่มีโอกาสจะบิดเบือนเสริมแต่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น

          จากการให้ถ้อยคำของจำเลยที่ 1 ต่อพนักงานสอบสวน ได้ความว่าประมาณเดือนกันยายน 2556 จำเลยที่ 4 ว่าจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 5 ให้ไปยิงผู้ตายโดยให้ค่าจ้างคนละ 1 แสนบาท จำเลยที่ 5 ทำหน้าที่ ขับรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ มีจำเลยที่ 1 เป็นมือปืนลงมือยิง แล้วพากันหลบหนีไป

          สำหรับจำเลยที่ 2  ขณะ น.ส.วรพรรณภูรี เข้าให้ข้อเท็จจริงต่อพนักงานสอบสวน ในครั้งแรกก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด แต่เพิ่งปรากฏตามคำให้การของ น.ส.วรพรรณภูรี ให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่าเป็นคนบอกให้ น.ส.วรพรรณภูรี หาคนมาเก็บผู้ตาย และในชั้นสอบสวนของ น.ส.วรพรรณภูรี กลับมีทนายจำเลยที่ 2 มาทำหน้าที่ทนายความให้ทั้งที่ให้การปรักปรำจำเลยที่ 2 และ น.ส.วรพรรณภูรี  กลับคำให้การจากคำให้การเดิม ซึ่งยืนยันตลอดมาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้าง

          ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งขอให้การปฏิเสธแต่กลับให้การปรักปรำตนเอง อันมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นการช่วยเหลือ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรสาว จึงยังมีความสงสัยอยู่ตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2

          จึงพิพากษาว่า นายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 มีความผิดตาม มาตรา 289(4), 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ส่วน พญ.นิธิวดี และนายสันติ หรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 3-4 มีความผิดตาม มาตรา 84, 289 (4) โดยนายสันติ จำเลยที่ 4 ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสามด้วย ให้ประหารชีวิต นายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต และให้ประหารชีวิต พญ.นิธิวดี และนายสันติ จำเลยที่ 3-4 ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และให้จำคุกนายจิรศักดิ์, นายสันติ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1, 4 และ 5 อีกคนละ 1 ปีฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปที่สาธารณะฯ ให้จำคุกนายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 อีกคนละ 6 เดือน ซึ่งทางนำสืบและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษคนละ 1 ใน 3

          จึงให้จำคุกตลอดชีวิตนายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นฯ, จำคุกคนละ 4 เดือน ฐานร่วมกันพกอาวุธปืนฯ แต่เมื่อรวมโทษทุกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 5 ส่วน พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 ให้ประหารชีวิต ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนนายสันติ หรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 เมื่อต้องโทษประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นมารวมได้อีก คงประหารชีวิตสถานเดียว ให้จำเลยที่ 1, 3, 4 และ 5 ร่วมกันชดใช้เงิน 2.5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่นายมานพ โจทก์ร่วม และนางสมคิด ผู้ร้อง บิดา-มารดานายจักรกฤษณ์ผู้ตายด้วย นับตั้งแต่เดือน กันยายน 2557 ที่ได้ยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้พิพากษายกฟ้องนางสุรางค์ มารดาหมอนิ่มจำเลยที่ 2 พร้อมให้ริบปลอกกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนของกลางด้วย

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก คมชัดลึก  http://www.komchadluek.net/news/scoop/253362

Loading

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *