บิ๊กตู่สั่งลุย สนช.คลอดพรบ.คอมพ์

บิ๊กตู่สั่งลุย สนช.คลอดพรบ.คอมพ์

พลเมืองเน็ตยื่น 3แสนชื่อคัดค้าน กรธ.แบร่างกกต. ทหาร-ตร.บุกปิด วทยุ”เทอดศักดิ์”


ตรวจจับ– เจ้าหน้าที่กสทช. ทหาร และตำรวจ ตรวจสถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา พบไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานี วิทยุคมนาคม จึงยึดอุปกรณ์ออกอากาศไว้ดำเนินคดี เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.

“บิ๊กตู่”ปรามคนปลุกต้านพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แจงเหตุต้องมีกฎหมายไว้สกัดข้อมูลหมิ่นสถาบัน ปิดช่องก่อการร้าย ไม่เกี่ยว”ซิงเกิล เกตเวย์” เครือข่ายพลเมืองเน็ตยื่น 3 แสนชื่อต้าน ชี้คุกคามสิทธิส่วนบุคคล นักศึกษามธ.ร่วมวงค้าน สนช.เดินหน้าถกวาระ 3 วันนี้ กรธ.เปิดร่างกฎหมายลูก”กกต.” ติดดาบเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน ดึงปปง.-สตง.-สำนักข่าวกรองช่วยปราบทุจริต ส่วนกฎหมายพรรคการเมือง “มีชัย”ยันทุนประเดิมตั้งพรรคต้อง 1 ล้าน แต่อาจลดเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำ “วีระศักดิ์”ไขก๊อกสนช. อุบโดนทาบนั่งเก้าอี้รมต. ทหาร-ตร.-กสทช.บุกสถานีวิทยุ”เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา” ที่เชียงใหม่ ฟันคดีไร้ใบอนุญาต

“บิ๊กตู่”เยี่ยมชาวสงขลา

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ อ.ระโนด จ.สงขลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม และระหว่างที่ตรวจเยี่ยมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด-กระแสสินธุ์ ต.บ้านขาว อ.ระโนด รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยจากผู้ว่าฯ สงขลา และพบปะข้าราชการ ครู นักเรียน ได้มีคุณยายอายุ 88 ปี มอบพระเหรียญปลอดหน้าคงหลัง หลวงพ่อปลอด วัดหัวป่า อ.ระโนด ให้กับนายกฯ ซึ่งเป็นพระดังที่คนสงขลาเชื่อว่ามีพุทธคุณเด่นด้านคงกระพันชาตรี หนังเหนียว ศัสตราวุธทั้งหลายไม่สามารถทำอันตรายได้ คุ้มครองและช่วยให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับกว่า 2,000 คนว่า รัฐบาลเข้าใจปัญหาความเดือดร้อนและไม่ทอดทิ้ง แต่ขอให้ประชาชนปรับตัว อย่าให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือเรื่องใดอีก เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง ขอให้คนไทยหันมาใส่ใจและดูแลรักษาสุขภาพ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมาตนออกกำลังกายก็หกล้ม แต่มุ่งหวังให้ทุกคนเห็นความสำคัญและหันมาออกกำลังกาย เพื่อลดการเจ็บป่วย

แจงเหตุต้องมีพรบ.คอมพ์

นายกฯ กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่) พ.ศ… ว่า ไม่ใช่ซิงเกิลเกตเวย์ แต่จำเป็นต้องมีพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพราะมีข้อมูลด้านลบมาจากต่างประเทศ ซึ่งป้องกันยาก โดยเฉพาะการหมิ่นสถาบัน จึงจำเป็นต้องมี เพื่อสกัดกั้นข้อมูลซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมาย ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือน ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ต้องการลิดรอนสิทธิใดๆ หรือละเมิดสิทธิใคร แต่เป็นเครื่องมืออุดช่องว่างการก่อการร้าย ภัยความมั่นคง เว็บไซต์ผิดกฎหมาย รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องประชาชนและลูกหลานคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไปล้วงความลับจากใครได้ทุกคน

“ยืนยันว่ายังไม่ได้ทำซิงเกิลเกตเวย์ เป็นการหาข้อมูลว่าตรงไหนเป็นพิษภัยต่อสังคม เราต้องดูต้นทางมาอย่างไรมาจากไหน ไม่เช่นนั้นเราจะตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย วันหน้าถ้ามีการยุยงปลุกปั่น มีการสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงจะทำอย่างไร อย่าคิดว่าจะไปละเมิด ต้องคิดว่าใครผู้ละเมิดกฎหมายจะดีกว่า ซึ่งผู้ไม่ละเมิดจะไปเดือดร้อนทำไม และหากปลุกระดมโดยผิดกฎหมายก็จะต้องดำเนินการ ซึ่งต้องดูที่เจตนาด้วย วันนี้โซเชี่ยล มีเดียอันตรายมาก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ไม่มีซิงเกิลเกตเวย์-ขู่คนปลุกระดม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขออย่าบิดเบือนกัน ถ้าทุกคนเข้าใจว่ามันคืออะไร กฎหมายเขียนมาเพื่ออะไรใครจะต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งไม่ใช่ทุกคนและไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไปล้วงความลับจากใครได้ทุกคน มันต้องมีเหตุผล และขอให้เลิกพูดเรื่องซิงเกิลเกตเวย์เพราะไม่เกี่ยวกัน วันนี้มีการบิดเบือน จึงขอให้เข้าใจด้วย ส่วนผู้ที่ปลุกระดมเรื่องนี้จะใช้กฎหมายดำเนินการ

“ผมเช็กแล้วว่าไม่เคยมีนโยบายให้ไปทำซิงเกิลเกตเวย์ เพราะหากกระทำก็ต้องเอามารวมในกล่องเดียวกันซึ่งประเทศเราทำไม่ได้ มีเพียงว่าผิดตรงไหนต้องไปดูตรงนั้น จะได้ระงับเพราะมันเร็ว ไม่กี่วินาทีมันไปทั้งโลก ทั้งเว็บไซต์ละเมิด เว็บโป๊ ถ้าไม่ทำมันจะแพร่หลายขึ้น เป็นอันตรายกับประชาชน เช่นกินยาผิดบ้าง สังคมเสื่อมโทรม แต่หากใช้ถูกต้อง คุยกับคนโน้นคนนี้ใครจะไปคุม ไม่ใช่ว่าจะไปดูคนทั้ง 70 ล้านคน แต่จะดูเฉพาะเรื่อง ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะอยู่กันอย่างไร เพราะ วันนี้ก็รู้อยู่แล้ว ว่ามีเว็บละเมิดอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายแบบนี้ และเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ทบ.ขออย่าเชื่อคนบิดเบือน

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผอ.ศูนย์ไซเบอร์ กองทัพบก กล่าวว่า เรื่องพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ควรนำมาโยงในเรื่องซิงเกิลเกตเวย์ เพราะเป็นไปไม่ได้ทั้งด้านเทคนิคและการปฏิบัติแบบรวมศูนย์ รัฐบาลไม่เอาด้วยอยู่แล้ว เพราะกระทบความเชื่อมั่นและการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิทัล

ส่วนร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ที่ สนช.พิจารณาอยู่นี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนมากกว่า เพราะปรับปรุงฉบับเดิมให้ทันสมัย มีความเหมาะสมตามสถานการณ์ สภาพแวดล้อม โดยเฉพาะพฤติกรรมบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีโซเชี่ยล ซึ่งเป็นการเพิ่มโทษผู้กระทำความผิด ทั้งด้านพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายอาญาอื่นๆ ไม่ได้ละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล แต่เป็นประโยชน์ด้านการคุ้มครอง ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนและผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเป็นมาตรการทางกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิทัลของประเทศด้วย

ประชาชนควรอ่านข้อกฎหมายให้ครบถ้วน และไม่ควรหลงเชื่อกระแสบิดเบือนจนเกิดความแตกแยกในสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้คนไทยทั้งชาติต้องการความรัก สามัคคี และกำลังใจเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลับคืนมาโดยเร็ว ขอวิงวอนกลุ่มบุคคลและสื่อต่างๆ หยุดสร้างกระแสปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเข้าใจผิดและแตกแยกในสังคม

สนช.เดินหน้าถกวาระ 3

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า ยืนยันว่า กมธ.พิจารณาปรับปรุงเนื้อหาให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้นกว่าร่างรับหลักการในวาระแรก แต่ที่ภาคประชาชนกังวลเพราะเข้าใจผิดว่าจะนำเรื่องซิงเกิ้ลเกตเวย์มารวมอยู่ในกฎหมายนี้ ทั้งที่ไม่ได้นำเรื่องซิงเกิ้ลเกตเวย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง แยกออกจากพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

วันเดียวกัน ในการประชุม สนช. ที่มีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่าจะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ. ดังกล่าวในวันที่ 16 ธ.ค. ตามที่วิป สนช.ได้มีมติบรรจุไว้ในระเบียบวาระ โดยไม่ได้เลื่อนอย่างไม่มีกำหนดหรือถอนร่างตามที่มีข่าวลือ

ถล่มเว็บสภาล่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก พลเมืองต่อต้าน Single Gateway:Thailand Internet Firewall #opsinglegateway ได้นัดผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไปร่วมกันแสดงออกต่อต้านร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่…) พ.ศ. ในการทำปฏิบัติการ “F5 for All Thai people” โดยมีเป้าหมายที่เว็บไซต์ของรัฐสภา http://www.parliament.go.th/

ล่าสุดเมื่อเข้าไปตรวจสอบที่หน้าเว็บของรัฐสภา ปรากฏว่าเว็บล่ม ไม่สามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ และเพจพลเมืองต่อต้านฯ ได้นัดชาวเน็ตไปถล่มเว็บไซต์ราชการแห่งหนึ่งอีกครั้งในวันที่ 16 ธ.ค. เวลา 14.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่สนช.จะพิจารณาร่างพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์วาระ 2-3 ก่อนให้ความเห็นชอบต่อไป

พลเมืองเน็ตจี้สนช.คว่ำกม.

เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา เครือข่ายพลเมืองเน็ต ร่วมกับแอมเนสตี้ นำโดยน.ส.สฤณี อาชวานันทกุล ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารเครือข่ายพลเมืองเน็ต ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชนกว่า 3 แสนรายชื่อต่อสนช. เพื่อขอสมาชิก สนช.ที่จะพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่…) พ.ศ… วาระ 2 และ 3 ในวันที่ 16 ธ.ค. ผ่านนางวรารัตน์ อติแพทย์ เลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สนช.

น.ส.สฤณีกล่าวว่า ต้องการให้ สนช.ไม่รับร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว เนื่องจากทางเครือข่ายต้องการให้ชะลอการออกกฎหมายออกไป เพราะเนื้อหาในร่างยังไม่ชัดเจน ควรทบทวนและแก้ไขในมาตราที่จะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเห็นสมควรพิจารณาแก้ไขร่างมาตรา 14 ให้มีความรัดกุมชัดเจน รวมทั้งแก้ไขร่างมาตรา 15, 18 ประกอบ 19, 20, และ 26 ที่ต้องคำนึงถึงสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และให้การออกมาตรการเพิ่มเติมใดๆ ที่จะกระทบสิทธิเสรีภาพโดยทั่วไปของประชาชน จะต้องผ่านกระบวนการการพิจารณาของรัฐสภาเท่านั้น

นอกจากนี้ ขอให้พิจารณาตัดมาตรา 16/2 และ 20/1 ออกจากร่างพ.ร.บ.โดยเฉพาะการออกมาตราใหม่ในการตั้งศูนย์บล็อกเว็บไซต์ เป็นการให้อำนาจรัฐโดยตรง มีลักษณะปิดกั้นประชาชนโดยเฉพาะข้อบัญญัติที่ระบุว่าพนักงาน เจ้าหน้าที่ จะปิดกั้นข้อมูลที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม

ย้ำคุกคามสิทธิส่วนบุคคล

น.ส.สฤณีกล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หากการแก้ไขจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของไทยที่ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หากร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านการพิจารณาออกมาเป็นกฎหมายอาจเปิดช่องให้เกิดการตีความ และถูกนำไปบังคับใช้ในทางละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ อาทิ ความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ควรถูกบรรจุในมาตรา 14 ความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟ้องหมิ่นประมาท

ส่วนมาตรา 14 (1) จะพบว่า ต้นแบบของมาตรานี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการหมิ่นประมาทที่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ต แต่เจตนารมณ์คือ มุ่งเอาผิดเรื่องการทำเว็บไซต์หรือข้อมูลปลอมตัวตนทางออนไลน์ เพื่อนำไปหลอกเอาทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนบุคคลจากเหยื่อ แม้กรรมาธิการจะแก้ไขแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน บางถ้อยคำยังมีปัญหาตีความ ซึ่งอาจเกิดปัญหาภายหลัง จนถูกตีความให้เกิดการกลั่นแกล้ง และคุกคามสิทธิส่วนบุคคลได้

นอกจากนี้ยังมีเรื่องปิดเว็บไซต์ที่ภาครัฐสามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอคำสั่งของศาล หากยืนยันผ่านร่างกฎหมายนี้ก็จะติดตามต่อไป และขอให้รัฐบาลถัดไปแก้ไขเนื้อหาให้เหมาะสม ขณะเดียวกันทางกลุ่มจะติดตามการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของกฤษฎีกา หากมีเนื้อหาไม่เหมาะสมจะคัดค้านอีก

นักศึกษามธ.ออกแถลงการณ์ค้าน

วันเดียวกัน สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงการณ์ เรื่องข้อกังวลต่อกรณีร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่…) พ.ศ…. ระบุว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นที่กังวลว่าอาจเกิดการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนหลายประการ อาทิ การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน การที่ศาลอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ การยึดคอมพิวเตอร์ และการถอดรหัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน และละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย อีกทั้งยังให้ดุลพินิจกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการกรณีที่กระทบกับการบริการสาธารณะ ความปลอดภัยสาธารณะ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งไม่มีการนิยามความหมายที่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดการตีความไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายได้

จึงขอเสนอต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมธรรมศาสตร์และเป็นสมาชิก สนช. ให้ยืนหยัดดำรงไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพอันพึงมีตามหลักการสากลและตามรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยึดถือปฏิบัติมาตลอด และขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ดำเนินการตามหลักการประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างยั่งยืน

“มีชัย”ยันทุนประเดิมต้อง 1 ล้าน

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงการรับฟังข้อเสนอแนะต่อการจัดทำร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง จากตัวแทน 28 พรรคการเมืองเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรธ. ในฐานะผู้รับผิดชอบจะใช้เวลา 3-4 วันสรุปผลการรับฟังความเห็น ก่อนส่งให้ที่ประชุมกรธ.พิจารณาทบทวน เช่น กรอบเวลาหา สมาชิกปีแรก 5,000 คน และ 20,000 คน ภายใน 4 ปี อาจจะผ่อนให้ในช่วงแรกก่อนการเลือกตั้ง เอาแค่มีสมาชิกจำนวนหนึ่งก่อน ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการเขียนให้ทำไม่ได้แล้วจะไปตัดสิทธิใคร

ส่วนกรณีที่พรรคเล็กแสดงความเห็นเรื่องทุนประเดิมมากเกินไป ตนมองว่าอย่างน้อย 1 ล้านบาทน่าจะเหมาะสมแล้ว แต่เพื่อให้พรรคเป็นของประชาชน อาจมีการปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำของสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งพรรคแต่ละคนต้องจ่ายเงินประเดิมไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท และทุนประเดิมพรรคขั้นสูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาทลง ใครมีน้อยก็อาจจ่ายหนึ่งพัน ใครมีมากก็ใส่หลักหมื่น ซึ่งไม่มีผลการตัด สินใจในพรรคเพราะเป็นความสมัครใจ ด้านข้อสังเกตว่าอาจมีนายทุนตั้งพรรคแล้วจ่ายเงินแทนสมาชิก ก็จะไปใส่โทษไว้ ส่วนเรื่อง 4 สาขาพรรคก็เป็นของเดิม ไม่ได้เพิ่ม อีกทั้งกรธ.ยังเปิดช่องให้มีผู้แทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดอีกด้วย ขอยืนยันว่ากำหนดการยังเป็นไปตามโรดแม็ป เพราะยังไงกฎหมายลูกทั้ง 10 ฉบับ ต้องเสร็จภายใน 8 เดือน

เปิดร่างกม.กกต.-ดึงสขช.หาข่าว

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรธ. แถลงถึงเนื้อหาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ฉบับรับฟังความคิดเห็นที่มี 72 มาตรา แบ่งเป็น 4 หมวดและบทเฉพาะกาล ว่าส่วนประกอบที่จะทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม ประกอบด้วย 1.กกต. 2.ผู้สมัครรับเลือกตั้งกับพรรคการเมือง และ 3.ประชาชนที่ต้องหวงแหนสิทธิไม่ขายเสียง ที่ผ่านมา กกต.ถูกมองว่าเป็นเสือกระดาษ กรธ.จึงกำหนดหน้าที่เชิงรุกไว้ในมาตรา 38 ให้กกต.ต้องรีบสืบสวนสอบสวนเมื่อได้รับร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

ส่วนมาตรา 24 ให้กกต.เพียงคนเดียวมีอำนาจสามารถตรวจสอบการเลือกตั้งให้เรียบร้อยได้ด้วยการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือผู้อำนวยการ กกต.จังหวัด ที่มีอำนาจเทียบเท่าพนักงานสอบสวน ส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องได้ ถัดมามาตรา 30 กำหนดให้กกต.สามารถขอให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ หากพบเรื่องร้องเรียนสงสัยว่าจะมีการทุจริต ทั้งยังสามารถขอให้หน่วยงานความมั่นคงที่ทำงานด้านการข่าว สำนักข่าวกรองแห่งชาติ(สขช.) ที่มีบุคลากรเก็บข้อมูลแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว ช่วยหาข้อมูลการซื้อเสียง หรือการกระทำความผิดในทางลับ

ติดดาบจนท.-ซื้อเสียงเจออาญา

นายประพันธ์กล่าวว่า มาตรา 39 ให้อำนาจ กกต.สามารถแต่งตั้งพนักงานของสำนักงาน กกต.เป็นเจ้าพนักงานสอบสวนตามป.วิอาญา มีอำนาจสืบสวนไต่สวน เทียบเท่าเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง สามารถออกหมายเรียกบุคคลมา สอบสวนได้ ด้านพยานก็มีการป้องกันการถูกข่มขู่ในมาตรา 42 โดยจะมีที่พักและเบี้ยเลี้ยงให้เพื่อป้องกันความปลอดภัย

ส่วนบทกำหนดโทษมาตรา 43 ก็รุนแรงทางอาญาในฐานความผิดซื้อขายเสียง และยังกำหนดให้มีการตั้งงบประมาณให้เป็นเงินรางวัลนำจับการทุจริตและงบประมาณแก่หน่วยงานด้านการข่าว นอกจากนี้ ยังมีการวางแนวทางการทำหน้าที่ให้กกต.ลงพื้นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งเหมือนตอนครู ก. ครู ข. ครู ค. ของกระทรวงมหาดไทยช่วงก่อนการทำประชามติรัฐธรรมนูญ

เลิกทำแบบโปลิศจับขโมย

จากนั้น นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขานุ การ กรธ. กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต.มีทั้งหมด 72 มาตรา 4 หมวด และ 1 บทเฉพาะ แม้ภาพรวมกฎหมายนี้อาจไม่แตกต่างจากฉบับเก่า แต่กรธ.ได้คำนึงถึงประสบการณ์กกต.จากปี 2540 จนถึง 2550 ซึ่งสิ่งที่ได้มาจากการเลือกตั้ง และ 3 ส่วนสำคัญอย่างยิ่ง คือ ประชาชนในฐานะผู้ใช้สิทธิ พรรคการเมือง และคนจัดให้มีการเลือกตั้ง และทำอย่างไรให้ดำเนินการไปตามเป้าหมาย เพื่อได้คนดีปกครองบ้านเมือง ป้องกันการทุจริตต่างๆ กกต.พบว่าการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาของกกต. เหมือนโปลิศจับขโมย ซึ่งจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้ช่วยกันสอดส่องดูแลที่มากขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่กกต.ยุคใหม่ต้องทำ คือ กกต.นั่งรอห้องแอร์ไม่ได้ ต้องทำงานเชิงรุก หรือมีเลือกตั้งแล้วออกตรวจ กกต.มีหน้าที่สืบสวน สอบสวน หาข่าวตลอดเวลา ป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง เพราะผลตามมาจะมีการถอนทุนขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงเป็นโครงสร้างกกต.ใหม่

ผุดคณะผู้ตรวจการเลือกตั้งช่วย

นายปกรณ์กล่าวว่า ส่วนแผน Active Role มาตรา 20 วรรคสอง กกต.แต่ละคนมีอำนาจควบคุมกำกับดูแลการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม และต้องสอดส่องสืบสวนเพื่อป้องกันการกระทำที่จะเกิดความไม่สุจริต หากพบปัญหาสามารถระงับยับยั้งได้ ส่วนการถอนสิทธิเลือกตั้งต้องเอาเข้าคณะกรรมการใหญ่ เพราะในอดีตแต่ละเรื่องกกต.ต้องทำงานกันทั้งคณะ ซึ่งกรธ.คาดหวังว่าให้กกต.มีเขี้ยวเล็บ รวมทั้งให้อำนาจขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ระหว่างเลือกตั้ง เพื่อตรวจสอบว่าพบการทุจริตหรือไม่ ขณะที่การมีส่วนร่วมประชาชนในการดูแลเลือกตั้ง กกต.มุ่งหวังว่าประชาชนจะช่วยกกต.ในการดู แจ้งเบาะแส เพื่อให้กกต.ไต่สวน หากพบว่ามีมูลจริง เปิดช่องให้กกต.สนับสนุนคณะบุคคล หรือนักสังเกตการณ์อาสาในการเลือกตั้งได้ กกต.ต้องใช้กลไกนี้ให้มากกว่าการใช้เจ้าหน้าที่กกต. รวมถึงสื่อสามารถแจ้งไปยังกกต.ได้หากพบเห็น

สำหรับกกต.จังหวัด กรธ.ได้เปลี่ยนวิธีคิด ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและตรวจสอบ ถ้าใช้คนพื้นที่อย่างเดียวมีปัญหา จึงดีไซน์คณะผู้ตรวจการเลือกตั้ง โดยแต่ละจังหวัดขึ้นบัญชีไว้ 5-8 คน และให้กกต.แต่งตั้งคนจากพื้นที่ 2 คน และส่วนที่เหลืออีก 3-5 คน จับฉลากเอาคนนอกพื้นที่เข้ามาช่วยดูแลการเลือกตั้ง ซึ่งทำงานร่วมกับผู้สังเกตการณ์อาสา โดยระบบนี้จะทำให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเป็นกลางมากขึ้น

เฟ้นกกต.ใหม่แทนคนตกเก้าอี้

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินคดีต่างๆ กฎหมายใหม่กำหนดเป็นหน้าที่กกต. ต้องสืบสวน สอบสวนโดยพลัน หากไม่ทำถือว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และการดำเนินคดีอาญาก็ส่งไปอัยการ แต่ถ้าอัยการสั่งไม่ฟ้อง ให้ส่งเรื่องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เป็นคนสั่งอีกทั้ง หากอสส.สั่งไม่ฟ้องต้องเปิดเผยคำสั่งว่าเหตุใดถึงไม่ฟ้องเพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขา ส่วนกรณีเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้งชั่วคราว กกต.ต้องร้องไปยังศาลฎีกา หรือศาลอุทธรณ์

นอกจากนี้ บทเฉพาะกาล กกต.ยังคงทำหน้าที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่มีลักษณะต้องห้ามหรือขาดคุณสมบัติ โดยส่วนนี้จะมีคณะกรรมการสรรหาพิจารณา โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะคุณสมบัติเขียนตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงประชามติ ส่วนพนักงานลูกจ้างกกต.จะกลับมาเป็นข้าราชการนั้น เบื้องต้นเห็นว่าถ้ากลับมาเป็นข้าราชการจะมีปัญหาเรื่องความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ กรธ.จึงยังไม่ใส่เรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องพิจารณาระยะยาวในเชิงโครงสร้างทั้งหมด

“สมชัย”เหน็บกรธ.

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.กล่าวว่า ตนดูแลด้านบริหารกลาง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.ของกรธ.และพร้อมสนับสนุนกกต.คนอื่นทำงานเชิงรุก ทั้งนี้ กรธ.ควรมาสมัครเป็นกกต.ใน 2 ตำแหน่งใหม่ โดยคนหนึ่งรับผิดชอบดูแลผู้ตรวจการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่กรธ.สร้างขึ้น จะได้กำกับการทำงานให้ได้ผล ส่วนอีกคนมาช่วยงานด้านสืบสวนสอบสวน เพื่อปราบปรามการทุจริตเลือกตั้งเชิงรุกตามแนวคิด ของกรธ.

“ส่วนคุณสมบัติกกต.ตามรัฐธรรมนูญ ผมไม่กังวลเพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติครบ แต่หน่วยงานที่น่ากังวลคือศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มากกว่า เพราะมีบุคคลที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก” นายสมชัยกล่าว

“วีระศักดิ์”ไขก๊อกสนช.-อุบนั่งรมต.

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งองคมนตรีเพิ่มเติมจำนวน 2 คน คือนายวิรัช ชินวินิจกุล และนายจรัลธาดา กรรณสูต นอกจากนี้ นายพรเพชรได้แจ้งว่านายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศ ได้ลาออกจากสมาชิกสนช. ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. ทำให้สนช.เหลือ 248 คน จำนวนกึ่งหนึ่งคือ 124 คน

นายวีระศักดิ์ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงเหตุผลการลาออกจากสนช.ว่า เป็นเหตุผลส่วนตัว ผู้สื่อข่าวถามว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือไม่ นายวีระศักดิ์กล่าวว่าสุขภาพแข็งแรงดี เมื่อถามว่าจะไปเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายวีระศักดิ์กล่าวว่ายังบอกไม่ได้ รอให้มีความชัดเจนก่อน

ทหาร-ตร.บุกวิทยุ”เทอดศักดิ์”

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนะ สินทร พนักงานปฏิบัติการระดับสูง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สำนักงานใหญ่ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ และทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 (มทบ.33) เข้าตรวจสอบภายในสถานีวิทยุชุมชนวิหค เรดิโอ 89.15 MHz. ซึ่งเป็นของนายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา หรือ โต้ง กปปส.เชียงใหม่ ตั้งอยู่เลขที่ 72/65 หมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้ดัดแปลงเป็นสถานีส่งสัญญาณวิทยุ ขณะเข้าตรวจค้นนายเทอดศักดิ์ไม่อยู่ มีเพียงนายเอกชัย วิไลวรรณ อายุ 40 ปี คนสนิทของนายเทอดศักดิ์แสดงตัวเป็นผู้ดูแล จากการตรวจค้นพบว่าสถานีวิทยุดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคม เจ้าหน้าที่จึงยึดเครื่องส่งสัญญาณ สายสัญญาณ เสาทาวเวอร์สูง 50 เมตร สายอากาศ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การออกอากาศและอุปกรณ์อื่นๆ รวมกว่า 10 รายการ พร้อมรื้อถอนสายส่งสัญญาณและเสาอากาศ

ต่อมาพล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รักษาราชการรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้เดินทางมาตรวจสอบสถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการ เนื่องจากมีการร้องเรียนเข้ามาต่อเนื่องและก่อนหน้าที่กสทช.ได้รับรายงานว่ามีการออกอากาศเข้าข่ายปลุกระดม เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ด้านนายวัฒนะกล่าวว่า สถานีวิทยุชุมชนวิหคเรดิโอไม่ได้ขออนุญาต ทางเจ้าหน้าที่จึงยึดอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ดำเนินคดีในข้อหามีเครื่องวิทยุโทรคมนาคมและใช้เครื่องวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต

ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก  ข่าวสด http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakUyTVRJMU9RPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE5pMHhNaTB4Tmc9PQ==

Loading

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *