สนช.ถวายพระพรชัยมงคล “พรเพชร”เตรียมขอเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูล”เจ้าฟ้าชาย” เพื่อทรงทราบมติครม.-สภา
อัญเชิญ – ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา รับทราบมติคณะรัฐมนตรี ทูลอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 สืบไป เมื่อวันที่ 29 พ.ย. |
คณะรัฐมนตรีแจ้งรัฐสภาประชุมเป็นพิเศษ เมื่อเวลา 11.19 น. วันที่ 29 พ.ย. 2559 สถาปนา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 อัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์สืบสันตติวงศ์ ประธานสนช.ประกาศแจ้งพสกนิกรให้ทราบตามรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางเสียงถวายชัยมงคลทรงพระเจริญกึกก้อง เตรียมเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคม ให้ทรงทราบ เผยยึดหลักกฎมณเฑียรบาล และราชกิจจานุเบกษาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตั้งองค์รัชทายาทไว้ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515
ประยุทธ์ประชุมร่วมครม.-คสช.
เวลา 09.00 น. วันที่ 29 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีวาระสำคัญพิเศษที่แจ้งให้ที่ประชุมพิจารณา ก่อนส่งให้สภานิติ บัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดำเนินการพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้นายกฯ เชิญสมาชิก คสช. อาทิ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการ ร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต ผบ.สส. พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เข้าร่วมรับฟังการประชุมในวาระสำคัญ พิเศษดังกล่าวนี้ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามพล.อ.ประยุทธ์ว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้เป็นการประชุมครม.ร่วมกับคสช. ใช่หรือไม่ นายกฯ พยักหน้า ตอบรับ ก่อนจะเดินขึ้นห้องประชุมไป
เวลา 10.10 น. หลังประชุมร่วมเสร็จสิ้น สมาชิกคสช.ต่างแยกย้ายกันเดินทางกลับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาวาระพิเศษของครม. เกี่ยวข้องกับการสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ใช่หรือไม่ว่า ขณะนี้การประชุมวาระพิเศษได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยมอบหมายให้เลขาธิการนายกฯ นำเรื่องส่งยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (อ่านรายละเอียด หน้า 3) เมื่อถามว่าจะเข้าเฝ้าฯ ภายในวันเดียวกันนี้เลยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า น่าจะเป็นภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอนอยู่แล้ว
นำมติครม.ส่งถึงมือประธานสนช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกระบวนการประชุมลับวิปสนช.เวลา 10.00 น. ขั้นตอนการรับทราบวาระพิเศษจากครม. เพื่อจัดการประชุมจะส่งยังนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.โดยตรง ต่างจากวาระปกติที่จะส่งผ่านมายังเลขานุการวิปสนช. แล้วนายพรเพชรจะแจ้งให้ที่ประชุมวิปรับทราบ เพื่อเตรียมพร้อมประชุมวาระพิเศษ เวลา 11.00 น. ส่วนการแต่งกายข้าราชการวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้สวมชุดข้าราชการ ขณะที่สมาชิก สนช.กำหนดให้ใส่ชุดสากลนิยมไว้ทุกข์
เวลา 10.00 น. ที่อาคารรัฐสภา 2 พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าพบนายพรเพชรถึงการเตรียมนัดประชุมสนช.นัดพิเศษ เวลา 11.00 น. เพื่อพิจารณาวาระตามที่ได้รับแจ้งจากครม. ก่อนนายพรเพชรจะเข้าทำหน้าที่ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในเวลา 10.10 น. โดยมี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่หนึ่ง นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.คนที่สอง นางวรารัตน์ อติแพทย์ เลขาธิการวุฒิสภา และกรรมาธิการวิสามัญเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ทั้งนี้ นาย พรเพชร แจ้งผ่านเลขาธิการวุฒิสภาให้โทรทัศน์ รัฐสภาช่อง 10 เป็นช่องหลักในการถ่ายทอดการประชุมสนช. ในเวลา 11.00 น. และช่องอื่นสามารถเกี่ยวสัญญาณถ่ายทอดการประชุมได้ตามปกติ
อัญเชิญ”พระบรมฯ”ขึ้นทรงราชย์
เวลา 11.19 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาแห่งชาติ ครั้งที่ 76/2559 เป็นพิเศษ ที่มีนาย พรเพชรเป็นประธานการประชุม มีวาระการพิจารณาเรื่องการดำเนินการตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ประกอบกับมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มีผู้เข้าร่วมประชุม 243 คน จาก 250 คน ระเบียบ วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งต่อที่ประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสนช. 7 คน ที่ไม่ได้ร่วมประชุมสนช.วาระพิเศษ ในวันที่ 29 พ.ย.ได้แก่ 1.พล.ร.อ.กฤษฎา เจริญพานิช ลาป่วยผ่าตัดหัวใจ 2.พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ ลาป่วยลำไส้อักเสบ 3.นายสถิตย์ สวินทร ลาป่วย 4.พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ติดราชการต่างประเทศ 5.พล.อ.เทพพงศ์ ทิพย์จันทร์ ติดราชการต่างประเทศ 6.พล.อ.กิตติ อินทสร ติดราชการต่างประเทศ และ7.นางเสาวณี สุวรรณชีพ ติดราชการต่างประเทศ
นายพรเพชรแจ้งต่อที่ประชุมว่า ตามที่มีประกาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต บัดนี้นายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือด่วนที่สุดที่ นร.0503/44549 ลงวันที่ 29 พ.ย. 2559 เรื่อง แจ้งเรื่องการสถาปนาแต่งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 แจ้งว่า
บัดนี้ราชบัลลังก์ว่างลง และพระมหากษัตริย์ ได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 คณะรัฐมนตรี จึงขอแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ แล้วให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อทราบ แล้วให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาท ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ สืบไป
นายพรเพชรกล่าวว่า รายละเอียดปรากฏตามเอกสารที่แจกแก่สมาชิกในห้องประชุม ตามที่ประชุมสนช.ทำหน้าที่รัฐสภา ได้รับทราบการแจ้งมติครม.แล้ว ขั้นตอนต่อไปตนจะได้นำความกราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์สืบสันตติวงศ์ เป็นพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนไทยสืบไป ตามมาตรา 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ประกอบกับมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
เปล่ง”ทรงพระเจริญ”กึกก้องสภา
“ในโอกาสอันเป็นมหามงคล ผมขอให้สมาชิกทุกท่านโปรดยืนขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลใหม่” นายพรเพชรกล่าวให้สมาชิกสนช.ถวายพระพรพร้อมกัน
จากนั้นสมาชิกสนช.พร้อมใจกันเปล่งเสียงว่า “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” จากนั้นนายพรเพชรจึงสั่งปิดการประชุมเวลา 11.25 น.
เตรียมเฝ้าฯกราบบังคมทูลอัญเชิญ
เวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์แถลงผลการประชุม ครม.วาระพิเศษว่า วันนี้มีการประชุมร่วมครม.-คสช. ทำภารกิจ อันสำคัญเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คือกระบวนการอัญเชิญรัชทายาทเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ โดยขั้นตอนกำหนดไว้ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดมา 25 ปีแล้ว และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการดำเนินการดังกล่าว ในกรณีที่พระราชบัลลังก์ว่างลงจึงต้องมีการสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งมีการแต่งตั้งรัชทายาทไว้แล้ว ทั้งนี้ ครม.ได้รับทราบและเป็นการเริ่มต้นกระบวนการ โดยทำหนังสือแจ้งไปยัง สนช. ถือเป็นไปตามราชประเพณี กฎมณเฑียรบาล และรัฐธรรมนูญ ทุกประการ จากนั้นเมื่อ สนช.ได้รับทราบแล้วก็จะได้อัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 ต่อไป เป็นไปตามความในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอดชีวิตแล้วจะต้องเตรียมตัวอะไร ก่อนหน้านี้ได้เตรียมตัวอะไรหรือไม่ ส่วนการแต่งกายและการถวายพระพรของประชาชนก็เป็นเรื่องของกระบวน การภายใน เพราะวันนี้เป็นขั้นตอนเริ่มต้น เมื่อถึงเวลาก็ต้องเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรา ลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้
“วิษณุ”แจงขั้นตอนขึ้นทรงราชย์
ที่รัฐสภา นายพรเพชร กล่าวถึงขั้นตอนหลังจากที่ประชุมสนช.รับทราบการแจ้งมติครม. อัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ว่า จะเป็นไปตามขั้นตอนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด คือ หลังจากนี้จะนำความกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงราชย์ ขณะนี้สำนักพระราชวังยังไม่ประสานมาว่า จะให้นำความกราบบังคมทูลอัญเชิญในวันใด ส่วน ขั้นตอนหลังจากกราบทูลอัญเชิญแล้ว จะมีการประกาศแจ้งให้ประชาชนทราบอย่างไร ค่อยมาว่าในรายละเอียดกันอีกครั้ง
เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนการแต่งตั้งพระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ว่ากระบวน การตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 23 มี 4 ขั้นตอน คือ 1.ที่ประชุมครม. แจ้งเรื่องไปยังสนช. 2.ประธาน สนช.แจ้งต่อที่ประชุมให้รับทราบ 3.ประธาน สนช.เข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงราชย์ และ 4.เมื่อพระองค์ทรงรับ ประธาน สนช.จะแจ้งให้ประชาชนทราบ ส่วนจะประกาศอย่างไรนั้นตนไม่ทราบ เมื่อ 4 ขั้นตอนนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะต้องเรียกพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนกว่าจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงจะเรียกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพระราชอำนาจเท่ากันทุกประการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้ประชาชนรับทราบ แต่ไม่มีกรอบเวลากำหนดว่าจะต้องประกาศเมื่อใด
ยังขอให้ขรก.แต่งกายไว้ทุกข์ 1 ปี
นายวิษณุกล่าวว่า เมื่อผ่านพิธีบรมราชา ภิเษกแล้วจึงจะเรียกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ซึ่งขั้นตอนนี้ยังอีกนาน อย่างไรก็ตามขณะนี้ขอให้ระวังคำเรียกพระนามใดก็ตาม หากไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องออกพระนาม ก็เรียก เพียงว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือในหลวง แต่เวลานี้ยังเรียกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ว่าในหลวง ว่าพระเจ้าอยู่หัวหรือในหลวง ยังไม่ได้ จนกว่าประธานสนช.จะออกมาประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการ
นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนการแต่งกายของประชาชนนั้น ให้ถือตามที่มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐแต่งกายไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี และเชิญชวนประชาชนปฏิบัติอย่างเดียวกับตามประเพณีนิยม ซึ่งวันนี้ที่ประชุม ครม. ได้นำประกาศดังกล่าวมาพิจารณา และชื่นชมประชาชนว่าปฏิบัติดีอยู่แล้วและขอให้ปฏิบัติต่อไป และรัฐบาลไม่มีการกำหนดให้แต่งขาวหรือเทา ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใดจึงไม่มีการกำหนดว่าช่วงเวลาใดที่ต้องแต่งชุดสีขาวหรือชุดสีอื่นตามที่มีข่าวลือ ขณะที่ข้อสังเกตเกี่ยวกับการประกาศวันสำคัญเพิ่มเติม ขอให้รอ ผู้ที่เกี่ยวข้องหารือกันก่อน และจะประกาศให้ทราบ ตอนนี้ใครคิดทำปฏิทินก็ทำไปตามปกติ เมื่อมีการประกาศวันสำคัญออกมาสามารถไปเติมในภายหลังได้ ไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงลำดับชั้นยศของพระบรมวงศานุวงศ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร นายวิษณุกล่าวว่า ตามหลักแล้วไม่ว่าจะเคยสถาปนากันไว้อย่างไร ในรัชกาลใดๆ ก็ให้เป็นไปเช่นนั้น หากจะเปลี่ยนแปลงใหม่จะต้องประกาศสถาปนาใหม่ ตราบใดที่ยังไม่มีประกาศให้เรียกตามเดิม อย่าไปเรียกตามใจชอบ
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก ข่าวสด http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNak13TVRFMU9RPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE5pMHhNUzB6TUE9PQ==