นับถ้อยหลังอีก 10 วัน เลือกตั้งประเทศไทย 66 กระสุนดินดำสะพัดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ใน 4 ทศวรรษ  จะเลือกใครดี เพราะนักการเมืองเป็นอย่างนี้…

นับถ้อยหลังอีก 10 วัน เลือกตั้งประเทศไทย 66 กระสุนดินดำสะพัดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ใน 4 ทศวรรษ  จะเลือกใครดี เพราะนักการเมืองเป็นอย่างนี้…

การเลือกตั้งครั้งนี้ 2566 มีกระสุนดินดำซื้อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ใน 4 ทศวรรษ กลยุทธ์วิธีที่ผู้สมัครของในแต่ละพรรคเพื่อที่จะเข้าป้ายให้ถึง คำว่า ชิ ตัง เม โดยมี นักการเมืองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ ออม. หรือ ตัวแทนต่างๆในหมู่บ้านชุมชุน เป็นตัวกระจายกระสุนดินดำ  เป็นหัวคะแนนให้ในแต่ละพรรคการเมือง  ซึ่งใช้กลยุทธ์วิธี ในการจดรายชื่อ – จดเบอร์โทรศัพท์ และโอนกระสุนดินดำเข้าบัญชีธนาคาร –หรือกระจายให้เป็นกลุ่มๆในชุมชน  โดยส่งให้หัวคะแนนใหญ่ตามลำดับชั้น  แล้วให้ไปฟังคำปราศรัย พบปะผู้ลงสมัครเลือกตั้งในแต่ละเขต แต่ละจังหวัด และแต่ละภาค และสรุปคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 โดยเริ่มจะมัดจำทยอยแจกกระสุนดินดำตามรายชื่อ และเบอร์โทร ที่ได้จดเอาไว้  ของเจ้าหน้าที่ ออม. หรือ ตัวแทนต่างๆในหมู่บ้านชุมชุน จะแจก 300-500 และจะรับแจกส่วนที่เหลือในวันก่อนเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง  และในการมาร่วมฟังนโยบาย 200-300  จ่ายร่วมฟังปราศรัย 300-500 เป็นเกณฑ์หลักของพรรคการเมืองต่าง ที่มีกระสุนดินดำอยู่ในมือหัวคะแนนใหญ่และกระจายต่อให้หัวคะแนนระดับกลางและหัวคะแนนเล็ก  โดยใช้มาตรการเช็คจำนวนคนที่ลงคะแนน เนื่องจากในแต่ละหน่วยเลือกตั้งมีจำนวนคนไม่มาก กระสุนดินดำที่จ่ายให้ชาวบ้านจึงเบี้ยวยาก  ซึ่งการแจกกระสุนดินดำโค้งสุดท้ายนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าจะได้คะแนนเสียงตามเป้า เพราะคู่แข่งพรรคอื่นๆ อาจมีการเกทับ ของกระสุนดินดำในแต่ละหัวคะแนนมากกว่าที่พวกเขาแจกมาก่อนหน้านี้  เช่น พรรคที่1 แจก 1,000 พรรคที่ 2 แจก 1,500  พรรคที่ 3  3,000  พรรคที่ลงเกทับสุดท้าย และมากกว่าดูจะได้เปรียบมีสิทธิ์ได้คะแนนตามเปอร์เซ็นต์  แต่ก็ไม่แน่นนอนร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ  ชาวบ้านอาจจะรับกระสุนดินดำมาแล้ว แต่ไม่กา ไปกาให้อีกพรรคหนึ่งก็ได้ครับ  อย่างนี้ชาวบ้านไม่ผิด ไปว่าชาวบ้านไม่ได้  555 เพราะกระสุนดินดำในสนามเลือกตั้ง ในปี 2566 นี้ สะพัดเหลือเกินในประวัติศาสตร์ ใน 4 ทศวรรษ ที่ผ่านมา  ซึ่งราคาแจกกระสุนดินดำในภาคอีสาน เหนือ ส่วนภาคกลางที่มีการต่อสู้กันหนัก ราคาไหลไปตามพื้นที่และในแต่ละเขตแต่ละภาค แต่ไฮไลท์อยู่ที่ภาคใต้ ราคาเฉลี่ย 2,000 ต่อหัวอย่างต่ำ โดยที่จะแจกสูงสุด บ้างจังหวัดราคาอยู่ที่ หัวละ 3,000 บาท ในโค้งสุดท้ายนี้  ซึ่งชาวบ้านมองการเลือกตั้งคือการเทศกาลในวันจ่ายตรุษจีน เงินสะพัด เป็นการคืนกำไรที่นักการเมืองได้ผลประโยชน์เก็บสะสมเอาไว้มานาน หรือเป็นการแจกเพื่อลงทุนในการเป็น ส.ส. ซึ่งดูแล้วการเมืองไทยจึงเปรียบเสมือนธุรกิจ ที่ต้องใช้กระสุนดินดำแจกให้ชาวบ้าน ค่า !!สัมปทาน!! ในการแลกกับคะแนนเสียงที่จะผ่านเข้าไปเป็น ส.ส. ตามระเบียนของการเมืองในยุคนี้  หากพรรคกลายเป็นตัวแปรหลังคะแนนออก การจับคู่เจรจาตำแหน่งเจ้ากระทรวงจะมีกำลังเพิ่มเป็นโบนัสชิ้นใหญ่ พรรคการเมืองอาจกลับคำได้หมด ไม่สนใจในโยบายในปราศรัยในการหาเสียง เพราะต้องเสียสัตย์ต่อประชาชน เพื่อให้เข้าไปต่อรองเอากระทรวงต่างๆที่มีโครงการมาก มีงบมาก แต่ส่วนพรรคเล็กที่ได้ ส.ส. ไม่มาก ก็จะได้กระทรวงที่เล็กๆ ลงมา ตามที่พรรคได้ตัว สส. โดยเฉลี่ย มี ส.ส. ในมือ 7 คนได้รัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง แต่ขึ้นอยู่กับพรรค และการต่อรองเป็นหลัก  ทั้งหมดที่พูดมาจากประสบการณ์ที่นักการเมืองทุกคนทราบ…ในความเก๋าเกมในการเจรจาต่อรองและจังหวะที่จะออกหมัดเด็ด ดูแล้วพรรคเล็กนักการเมืองที่ยังไม่เก๋าเกมในสนามเลือกตั้ง ก็จะเสียเปรียบตามเคยนะครับ 555 ในการลงสนามเลือกตั้งของนักการเมือง…  ที่ผ่านมาใครได้เป็นนายกฯ จริง แต่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลต่างบริหารงบประมาณกันสนุกสนาน สะสมทุนมโหฬารงานสร้าง.. ต่อยอดสร้างคน… สร้างผู้ลงสมัครคนใหม่มาโดยตลอด  ซึ่งคนที่เป็นนายยกที่ผ่านมา  ได้แต่นั่งดูเพราะเกรงใจ และต้องการยึดเก้าอี้นายกฯ เอาไว้เท่านั้น  ในสภายังมีการจ่ายแจกซื้อคะแนนเวลา ส.ส. ลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก และลามไปถึงการซื้อเสียงให้งูเห่าโหวตให้ สำหรับบรรดา ส.ส. หน้าใหม่ที่หิวแสง.. ที่ต้องเอาตัวรอดต้องเก็บกระสุนดินดำเอาไว้ในกระเป๋าของตัวเอวเสียก่อนเพื่อที่จะมีทุนมาสู้ในสนามเลือกตั้งในครั้งต่อไป…  โดยพรรคที่มีเงินสะสมเก็บเอาไว้มากที่มาจากเงินทอน หรือโครงการต่างๆ ก็จะใช้เงินฟาดซื้อ ส.ส. ให้สลับเปลี่ยนย้ายพรรคย้ายขั้วกันไม่เว้นแต่ละวันแต่ละสมัยในสนามเลือกตั้ง ดูแล้วทั้งหมดก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น ไม่ได้มีอุดมการณ์ใดหลงเหลือ… นี้คือนักการเมือง ในยุคนี้   ในพรรคการเมืองที่เคยเป็นพรรคใหญ่ในอดีต  ก็แตกกันออกมาเป็นพรรคต่างๆ  เพื่อมาแย่งคะแนนข้าวหม้อเดียวกันที่ภาคใต้  โดยแต่ก่อนเปลี่ยน  หัวหน้าพรรค  แต่เที่ยวหน้า เปลี่ยน ชื่อพรรค  ดูแล้วนักการเมืองไม่สนใจว่าใครจะเป็นนายกฯ อย่าไปห่วง ได้เป็นแค่ในนาม เป็นแค่ 4 ปี…. ซึ่งผู้คุมรัฐบาลตัวจริง ยังคงเป็นพรรคหลักที่ได้จำนวน ส.ส. มากสุดอยู่ดี  นี้คือการเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ จริงหรือเปล่าครับประชาชนจ้า….

                               

สิงห์ผยอง  แดนเหนือ …..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *