เกิดเหตุโจมตีฐานชายแดนพม่าตำรวจดับ 9 นาย จนท.ท้องถิ่นสงสัยโรฮิงญาอยู่เบื้องหลัง

เกิดเหตุโจมตีฐานชายแดนพม่าตำรวจดับ 9 นาย จนท.ท้องถิ่นสงสัยโรฮิงญาอยู่เบื้องหลัง
เจ้าหน้าที่รักษาแนวชายแดนของพม่าเดินลาดตระเวนใกล้แนวรั้วชายแดนบังกลาเทศในเมืองหม่องดอ รัฐยะไข่ เจ้าหน้าที่พม่าเผยว่าเกิดเหตุโจมตีฐานที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ โดยกลุ่มกำลังไม่ทราบฝ่าย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 9 นาย. — Reuters/Soe Zeya Tun.
        เอเอฟพี – เจ้าหน้าที่ตำรวจพม่า 9 นาย เสียชีวิตในการโจมตีของกลุ่มก่อความไม่สงบยังฐานตามแนวพรมแดนพม่าและบังกลาเทศในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ (9) ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่และตำรวจ

ยังไม่มีฝ่ายใดอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ แต่เจ้าหน้าที่อาวุโสในท้องถิ่นของพม่ากล่าวโทษกลุ่มกำลังชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญาที่ไม่เคลื่อนไหวมาหลายปี

การโจมตีเกิดขึ้นกับฐานรักษาการณ์ชายแดน 3 แห่ง เมื่อเวลาประมาณ 1.30 น. ใกล้เมืองหม่องดอ ของรัฐยะไข่ ที่ความตึงเครียดยังคงร้อนระอุระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมโรฮิงญาที่ถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่ในสภาพที่เลวร้าย

“รวมทั้งหมดแล้วมีตำรวจเสียชีวิต 9 นาย ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย และสูญหาย 1 นาย” ทิน หม่อง ฉ่วย เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลรัฐยะไข่ กล่าว พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มว่าผู้ก่อการ 8 คน เสียชีวิตในการโจมตีที่เกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจในกรุงเนปีดอยืนยันเหตุโจมตีครั้งนี้ และว่าสามารถยึดอาวุธจากผู้ก่อเหตุได้

ทิน หม่อง ฉ่วย กล่าวว่า ผู้โจมตีคาดว่าเป็นกบฎ RSO หรือองค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮิงญา แต่หม่อง ฉ่วย ไม่ได้ชี้แจงว่าเขาทราบว่าเป็นกลุ่มนี้ได้อย่างไร

RSO เป็นกลุ่มกำลังทางทหารของชาวโรฮิงญากลุ่มเล็กๆ ที่เคลื่อนไหวในช่วงทศวรรษ 1980-1990 และไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา

รัฐยะไข่แตกแยกด้วยเหตุทางศาสนานับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างชุมชนในปี 2555 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากและส่งผลให้อีกหลายหมื่นชีวิตต้องอพยพหลบหนีภัยความรุนแรง

ชาวมุสลิมโรฮิงญาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นชั่วคราวและเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย ที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนระบุว่าสภาพที่เปรียบได้กับการแบ่งแยกชนชาติ

ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนปะทุขึ้นตามพื้นที่ชายแดนของพม่าขัดขวางความพยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจ หลังสิ้นสุดการปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร.

แหล่งข่าวจาก  MGR  http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9590000101718

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *