เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2562 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าในวันพรุ่งนี้ตนจะเข้าร่วมขบวนเดินเท้า “เดินเพื่อผู้ป่วย” ซึ่งนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญและเครือข่ายภาคประชาชนจัดขึ้น โดยตนจะเริ่มเดินตั้งจุดเริ่มต้นที่วัดป่าวชิรโพธิญาณ อ.โพทะเล จ.พิจิตร เพราะต้องการร่วมรณรงค์ให้ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดและเป็นสมุนไพรควบคุม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาโดยไม่มีการหมดเม็ด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ควรต้องทำอย่างนี้ แต่เพราะประชาชนเดือดร้อนจึงมีทางเดียวคือรัฐบาลและราชการต้องรับรู้ความต้องการของประชาชน ดร.อาทิตย์กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่ากัญชาเป็นยา ถึงแม้ไม่ได้วิเศษสุดแต่ก็มีความมหัศจรรย์ ช่วยชีวิตได้ในราคาถูกและชาวบ้านเข้าถึงได้ แต่รัฐบาลและราชการสร้างระบบกีดกันและเรื่องมาก แม้กระทั่งปลดล็อคครั้งก่อนที่มีการแก้ไขกฎหมายกลับทำเป็นมายากล ฉ้อฉลและไม่ได้ปลดล็อคเลยเพราะรัฐยังผูกขาดเอาไว้เพื่อนายทุนและผลประโยชน์ของบริษัทซึ่งประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิเข้าถึง โดยเฉพาะเมื่อพ้นกำหนดนิรโทษกรรม แต่ชาวบ้านที่ต้องการไปขึ้นทะเบียนหวั่นเกรงและรู้สึกเหมือนเป็นการชี้เป้าให้ตำรวจ ดังนั้นจึงมีประชาชนอีกจำนวนมากไม่ไปลงทะเบียนแจ้งและอยู่ใต้ดินเหมือนเดิม “ผมว่าที่ประเทศลาวยังก้าวหน้ากว่าบ้านเรา แม้กัญชายังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่เขาก็ปล่อยให้ปลูกเป็นพันๆ ไร่ และเป็นสินค้าส่งออกไปต่างประเทศ แต่คนไทยเดือดร้อนเพราะต้องการเป็นยารักษาโรคจริงๆ ทำไมรัฐบาลไม่เข้าใจ เอามาเป็นเรื่องการเมืองเพื่อใคร แต่ไม่ใช่เพื่อประชาชนแน่ หากรัฐบาลสั่งอย่างไร ราชการก็ต้องทำตามนั้น ผมรู้สึกแปลกใจว่ารัฐบาลพลังประชารัฐ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา น่าจะรู้ว่าเป็นความต้องการประชาชน แต่กลับยังไม่ปลดล็อค ถ้าเขาปลดล็อคก็คงได้คะแนนมากมาย ผมรู้ว่าเบื้องลึกแล้ว มีคนจากต่างประเทศได้ผลประโยชน์มหาศาล เขาเอาเงินจดสิทธิบัตรมาลงให้นักการเมือง บ้านเมืองไม่ควรอยู่แบบนี้ จะลุกเป็นไฟหมดแล้ว” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว เมื่อถามว่าการเดินเท้ารณรงค์ในครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลยอมแก้ไขกฎหมายหรือไม่ ดร.อาทิตย์กล่าวว่า ถ้าเราไม่รณรงค์เรียกร้อง เราก็ไม่มีโอกาสเพราะเขาก็เอาแต่ประโยชน์ของเขา เสียงประชาชนคือสวรรค์ พรรคไหนที่เปิดให้กัญชาประชาชนก็สนับสนุน เราหวังพึ่งการเมืองเพราะการเมืองคุมอยู่ ยิ่งสภาชุดใหม่เป็นสภาที่รัฐบาลคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะออกกฎหมายอะไรก็ได้ ถ้าจริงใจ “มีวิธีการเดียวคือประชาชนแสดงจุดยืน นี่คือบ้านเมืองของพวกเรา
คนที่หนุนหลังกีดกันชาวบ้านคือใคร คนที่ตักตวงประโยชน์เป็นใคร เราไม่ควรให้เป็นอย่างนั้น จริงๆแล้วแก้ปัญหาง่ายนิดเดียวเรื่องปลดล็อค ผมเคยเสนอให้พลเอกประยุทธ์ใช้ ม.44 เพื่อให้กัญชาเป็นสมุนไพรเพื่อการแพทย์” ดร.อาทิตย์กล่าว และว่าแม้วันนี้มหาวิทยาลัยรังสิตจะได้รับอนุญาตให้ทำวิจัยกัญชารักษาโรค แต่โดยขั้นตอนแล้วยุ่งยากมาก ที่สำคัญคือไม่มีกัญชาเพียงพอ เพราะแต่เดิมเคยได้จาก ปปส. แต่กฎหมายใหม่เขาอนุญาตให้ปลูก 50 ต้นเพื่องานวิจัยซึ่งไม่เพียงพอเพราะยารักษาโรคมะเร็งต้องทอลองกับคนนับพันในเวลา 6 เดือน ซึ่ง 50 ต้นที่ปลูกไม่พอแน่ “พวกมีอิทธิพลก็หวง เพื่อประโยชน์ตัวเอง และต่างชาติก็จ้องที่จะตักตวง เพราะมีมูลค่านับแสนๆ ล้าน ผมเพิ่งทราบว่าที่ประเทศลาว มีคนไทยไปปลูกกัญชาไว้นับร้อยๆ ไร่ เมื่อไม่กี่วันมานี้เขามาติดต่อซื้อรังผึ้งจากพัทลุง เพื่อเอาผึ้งไปเลี้ยงในไร่กัญชาผลิตน้ำผึ้งกัญชาส่งออกไปตะวันออกกลาง เขาก้าวหน้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว แต่เรากลับยังหวงกันอยู่ ลองคิดดูน้ำผึ้งมีมีค่าอยู่แล้ว แต่นี่น้ำผึ้งจากดอกกัญชาด้วย ราคายิ่งสูง เราน่าจะทำได้ในประเทศ แต่กลับถูกกีดกันและหวงผลประโยชน์กันเอง” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีความรู้เรื่องกัญชารักษาโรคมากขึ้น หลังถูกมอมเมาว่าเป็นยาเสพติดมานาน แต่ที่ล้าหลังคือเจ้าหน้าที่รัฐและระบบราชการ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในที่สุดภาคประชาชนต้องออกแรงขับเคลื่อนเพื่อให้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นของประชาชาชนซึ่งนายเดชาเป็นคนหนึ่งที่ขับเคลื่อน ที่จริงอีกหลายเครือข่ายพยายามผลักดันอยู่เช่นกัน นายประพัฒน์กล่าวว่า ในสภาเกษตรกรแห่งชาติได้หารือกัน และเห็นว่าทางที่ดีควรมีการออกพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง และกระท่อมอีก 1 ฉบับ เพราะหากพืชเหล่านี้ยังอยู่ภายใต้กฎหมายยาเสพติด ทำให้การแก้ปัญหาต่างๆ ปลดล็อคยากมาก เช่นกัญชาแม้ใช้ทางการแพทย์ได้แต่ยังเป็นยาเสพติด ทางที่ดีออกกฎหมายใหม่เพื่อดูแลพืช 3 ชนิดนี้ เพื่อสังคมจะได้ไม่หวาดวิตก และอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ตามที่ปรากกฎในกฎหมาย หากใช้ผิดประเภท เช่น เอากระท่อมผสมเป็นสี่คูณร้อยก็ต้องรับโทษ “สภาเกษตรกรฯ ได้หารือกับบางพรรคการเมืองไว้บ้างแล้ว ซึ่งเขาเห็นด้วยกับแนวทางของเรา หากเปิดสภาเมื่อไร บรรดา ส.ส.สามารถเสนอกฎหมายนี้ได้ทันที หากการเมืองเอาด้วยจริงๆ ก็เร็วขึ้น” นายประพัฒน์ กล่าว เมื่อถามว่ามั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เตะหมูเข้าปากหมา นายประพัฒน์กล่าวว่า ตนเองไม่เชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขจะออกระเบียบหรือประกาศต่างๆ มาเพื่อเอื้อประโยชน์กับทุนผูกขาด แต่อาจเพราะขาดความเข้าใจทำให้ดูเหมือนว่าการออกระเบียบต่างๆไปเข้าทางทุนใหญ่มากกว่าประชาชนทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่ฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการก็ต้องระมัดระวังว่าการออกระเบียบใดๆ ต้องเขียนให้ดี ไม่ใช่เขียนแล้วประชาชนเข้าถึงยากและปล่อยให้ทุนใหญ่เท่านั้นที่เข้าถึง “การเดินของอาจารย์เดชา และภาคประชาชนครั้งนี้ เป็นการเคลื่อนไหวที่ช่วยเร่งรัดปฏิรูปทุกกระบวนการถือว่ามีประโยชน์ทั้งสิ้น เป็นการขับเคลื่อนต่อเนื่อง ฝ่ายการเมืองไม่กล้าหักประชาชนเพราะประชาชนจำนวนมากเอาด้วยมาก ไม่มีครอบครัวไหนไม่เป็นคนป่วย การขับเคลื่อนจึงเป็นประโยชน์” นายประพัฒน์ กล่าว //////////////////////
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก – สำนักข่าวชายขอบ : http://transbordernews.in.th/home/?p=23038 .