เปิดใจ “พี่ตูน สำรวย เกตุจรัล” นางฟ้าข้างถนนที่ช่วยชีวิตสาวโดดสะพาน

ในช่วงเวลาที่ตามหน้าหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยข่าวโหดร้าย ภาพในสังคมถูกมองว่าน่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจ กลับมีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เปรียบดังดอกไม้ในป่าใหญ่ เป็นจุดเล็กๆ ของสังคม แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่เธอก็พร้อมทำความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

หลายคนคงเห็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกแชร์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค ขณะช่วยเหลือวัยรุ่นสาวบนสะพานพุทธ ที่มีท่าทีหวาดกลัว ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนอาจทำให้เกิดภาวะที่ไม่ปลอดภัย อย่างการวิ่งไปบนท้องถนนที่มีรถยนต์สัญจรไปมาด้วยความเร็ว หรือพลัดตกสะพาน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ นางสำรวย เกตุจรัล หรือพี่ตูน อายุ 42 ปี คนงานกวาดถนน เขตธนบุรี ผู้ให้ความช่วยเหลือวัยรุ่นสาวคนดังกล่าว


พี่ตูน เล่าว่า ขณะขึ้นมากวาดถนนบนสะพานตามปกติ เห็นวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งซุกตัวอยู่ในซอกเหล็กของสะพาน มีท่าทีหวาดกลัว ตัวสั่น พูดวนไปวนมาว่า อย่าทำหนูเลย หนูกลัวแล้ว จึงถามว่าหนูเป็นอะไร ใครทำอะไรลูก แต่เขามีท่าทีหวาดระแวง เรากลัวเขาจะวิ่งหนีไปบนถนน ซึ่งตอนเช้ารถยนต์ขับเร็วมาก กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ หรือถ้าเขาวิ่งหนีอีกทางก็อาจพลัดตกสะพานไป เลยตัดสินใจนั่งลงไปกอดเขา พูดกล่อมให้เขามากอดเรา เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถดูแลไม่ให้เขาหนีไปจนเกิดอันตราย ช่วงเวลานั้นเราคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้เขาเชื่อใจเรา จึงแทนตัวเองว่าแม่ เรียกเขาว่าลูก ให้เขาอุ่นใจว่าเรามาช่วยเหลือ ไม่ได้มาทำร้ายเขา ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังแบกโลกทั้งใบ เพราะเราต้องดูแลเขา เขาไม่มีใคร ช่วงเวลาของคนที่หวาดกลัวเขาต้องการใครสักคนให้พึ่งพิง


พี่ตูน เล่าต่อว่า ไม่ว่าใครเข้าใกล้เขาก็ตื่นตระหนกจะวิ่งหนีอยู่ตลอด แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาก็ต่อต้าน เราเลยกอดเขาไว้ตลอด ก่อนค่อยๆ พาเดินลงมาในที่ปลอดภัย เราเชื่อว่าการกอด เป็นสัญชาตญาณแห่งความอบอุ่น เราอยากให้เขารู้สึกว่าเราพึ่งพิงได้ ที่ตัดสินใจช่วยก็เพราะคำว่า มนุษย์ มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่คำจำกัดความแค่ พ่อ แม่ หรือพระ แต่มีความหมายรวมทุกอย่างบนโลก เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน แต่หากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเดือดร้อน ก็พร้อมจะช่วยเหลืออย่างจริงใจ
บทสัมภาษณ์ที่กลั่นกรองจากหัวใจผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ยึดถือความดี และมีความจริงใจ ทำให้เธอกลายเป็นนางฟ้าสำหรับใครหลายคน ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินหน้าทำความดีเท่าที่ตนเองจะทำได้ ไม่หวังคำชื่นชม หรือสิ่งตอบแทน มีเพียงคำว่า น้ำใจ ที่อยากมอบให้คนในสังคม
นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ยังมีเบื้องหลังความดีมากมายที่หลายคนไม่ทราบ โดยพี่ตูนจะคอยช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนอยู่เสมอ เช่น บริเวณหน้า ร.ร.ศึกษานารี มักมีรถจักรยานยนต์ประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ เมื่อพี่ตูนพบเห็นก็จะเข้าไปช่วยเหลือ ด้วยการกั้นรถที่สัญจรไปมา ถามอาการของผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดำเนินการช่วยเหลือทันที
พี่ตูน กล่าวว่า ปกติจะช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ทำได้ เพราะเราคิดถึงญาติพี่น้อง พ่อแม่ ของตัวเอง หากเป็นคนในครอบครัวของเราประสบเหตุการณ์เหล่านี้ แล้วไม่มีใครให้ความช่วยเหลือคงรู้สึกไม่ดี ส่วนตัวคิดว่าใครอยู่จุดนั้นเขาก็ต้องช่วยเหลือกัน มันเป็นสัญชาตญาณของเพื่อนมนุษย์ เมื่อเขาหวาดกลัวก็ต้องปกป้อง หากเขาเดือดร้อนหรือบาดเจ็บก็ต้องช่วยเหลือ มันเป็นชีวิตคนคนหนึ่งที่มีคนที่รักเขาอยู่
“อยากฝากถึงคนในสังคมว่า ทุกวันนี้สังคมไทยเต็มไปด้วยความเร่งรีบ สิ่งที่ถูกให้ความสำคัญ คือ เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ คำสรรเสริญ ในขณะที่ความเมตตา ความกรุณา การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กำลังเลือนหายไป แต่หากเราหันกลับมามีน้ำใจให้กัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนที่เรารู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เพียงแค่คนเดินสวนทางกัน ยิ้มให้กันบ้าง ทักทายกันด้วยไมตรี และที่สำคัญคือการให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เท่านี้สังคมเราก็จะน่าอยู่ขึ้นแล้ว”
บางคนมัวให้ความสำคัญกับการปรุงแต่งความงามภายนอก จนลืมไปว่าสิ่งที่จะทำให้เรางดงามที่สุดย่อมเกิดจากจิตใจ เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับที่มีราคาแพงไม่อาจยกระดับใคร แต่ความดีต่างหากที่ช่วยสร้างมูลค่าให้คน
แหล่งข่าวจาก:http://www.khaosod.co.th/

Loading

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *