ผลสอบ “ผอ.ฉาว” มีสัมพันธ์นร.สาว ม.2 มีมูลความจริง ส่ง ศธ.ตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรง ตร.เตรียมออกหมายจับขีดเส้นถึงศุกร์นี้-แม่หนุ่ม ม.3โร่แจ้งจับ ผอ.ฐานหมิ่นประมาท
เผยผลสอบกรณี “ผอ.ฉาว” สรุปมีมูลความผิดจริง ส่งเรื่องศึกษาธิการจังหวัดตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ตร.เตรียมออกหมายจับ “ผอ.ฉาว” หากไม่มารายงานตัววันนี้ (26 ม.ค.) ชี้หลักฐานแชทไลน์ของจริงเอาผิดอาญาได้ ด้านแม่หนุ่ม ม.3 ขึ้นโรงพักแจ้งจับ ผอ.ฐานหมิ่นประมาท กล่าวหาลูกเกี่ยวข้องยาเสพติด กลุ่มเพื่อนผอ.โรงเรียนในสังกัดเดียวกัน รับไม่ได้กับพฤติกรรม เรียกร้องต้องไล่ออกสถานเดียว
จากกรณีคณะกรรมการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา นำหลักฐานร้องเรียนพฤติกรรมของผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เพิ่งย้ายมารับตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน มีพฤติกรรมเชิงชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.2 ลักษณะคบหากันเป็นแฟนอย่างลับๆ โดยมีหลักฐานภาพแชทไลน์ที่พูดคุยกันในเชิงชู้สาว ต่างฝ่ายต่างเรียกอีกฝ่ายว่า “ที่รัก” และมีภาพถ่ายกอดคอกันอย่างสนิทสนม นอกจากนี้ ผอ.ยังเรียกนักเรียนหญิงว่า “เมีย” ต่อมาสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 สั่งตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ผอ.ฉาว และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บัวใหญ่ เตรียมดำเนินคดีพรากผู้เยาว์ และข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 25 มกราคม พ.ต.อ.คารม บุญสด ผกก.สภ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ได้เรียกประชุมทีมพนักงานสอบสวน 4 นาย วางแนวทางการทำงาน ตามคำสั่งการเร่งด่วนของ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบช.ภ.3 เพื่อสืบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ หากผิดจริงจะเข้าข่ายฐานความผิดอาญา 2 ข้อหาหนัก คือพรากผู้เยาว์เพื่อกระทำอนาจาร และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เบื้องต้นหลักฐานข้อความแชทไลน์ ปรากฏภาพ ผอ.กอดคอ ด.ญ.14 ปี และข้อความสนทนาเชิงชู้สาว
พ.ต.อ.คารม กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า มั่นใจว่าเป็นภาพจริงที่ไม่ได้มีการตัดต่อตกแต่งขึ้นมา ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะเอาผิดกับ ผอ.ได้ สำหรับวันนี้ตำรวจเตรียมเรียกครูในโรงเรียนมาสอบปากคำ พร้อมประสานขอข้อมูลกับสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 (สพป.นม.เขต 6) และตำรวจจะแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อเร่งสรุปผลภายในวันศุกร์ที่ 26 มกราคมนี้
ต่อมา พ.ต.อ.คารม กล่าวภายหลังการประชุมว่า กรณีดังกล่าวตำรวจ สภ.บัวใหญ่ได้สืบสวนและสอบปากคำพยานไปแล้วหลายปาก และได้ออกหมายเรียก ผอ.โรงเรียนคนดังกล่าวมารับทราบข้อกล่าวหาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งวันที่ 26 มกราคม จะครบกำหนด หากไม่มารับทราบข้อกล่าวหา ตำรวจจะยื่นศาลจังหวัดบัวใหญ่ออกหมายจับ ในข้อหาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร และหากมีเพศสัมพันธ์กัน ต้องดำเนินคดีในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราอีกข้อหาหนึ่ง แม้เด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากผู้ปกครองและเด็กที่เสียหาย ไม่เข้าแจ้งความกล่าวโทษ แต่ตามกฎหมายตำรวจสามารถดำเนินคดีได้เอง และผู้ปกครองจะถูกดำเนินคดีฐานให้การสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดยุยงส่งเสริมให้มีการกระทำผิด เนื่องจากเด็กมีอายุไม่เกิน 15 ปี
พ.ต.อ.คารม กล่าวต่อว่า ในการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีกับ ผอ.โรงเรียนคนดังกล่าว พนักงานสอบสวนแยกเป็น 2 เรื่อง คือเรื่องแรกจะต้องเร่งสืบสวนหาข้อเท็จจริง โดยวันนี้(25 ม.ค.) ตำรวจเตรียมเรียกครูในโรงเรียนมาสอบปากคำ พร้อมประสานขอข้อมูลการสืบสวนข้อเท็จจริงกับ สพป.นม.เขต 6 โดยพนักงานสอบสวนแต่ละนายจะแยกหน้าที่กันทำงานชัดเจนเพื่อเร่งสรุปผลภายในวันศุกร์ที่ 26 มกราคมนี้ ส่วนเรื่องที่สองคือ แม่ของนักเรียนชาย ม.3 อดีตแฟนนักเรียนหญิง ม.2 แจ้งความดำเนินคดี ผอ.โรงเรียนคนดังกล่าว ฐานหมิ่นประมาท ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา สาเหตุจาก ผอ.โรงเรียนรายนี้พูดคุยกับครูที่โรงเรียน โดยกล่าวหานักเรียนชาย ม.3 เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายเรียบร้อยแล้ว และเตรียมออกหมายเรียก ผอ.โรงเรียนให้มารับทราบข้อกล่าวหา และให้ปากคำตามขั้นตอนต่อไป
“เบื้องต้นเห็นว่าท่าทีของแม่แท้ๆ ของ ด.ญ.14 ปี ไม่ขอแจ้งความเอาผิดกับ ผอ. ก็ไม่เป็นไร กฎหมายให้ความคุ้มครองเด็กและเยาวชนอยู่ หากพบมีมูลผิดจริงก็สามารถรับเป็นคดีอาญาได้ทันที หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนก็จะเริ่มกระบวนการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ รวมถึงตัว ผอ.คนนี้ด้วย ซึ่งต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบแม้เด็กจะสมยอมหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็เข้าข่ายความผิดพรากผู้เยาว์อยู่ดี ส่วนกรณีที่เด็กชาย ม.3 อยู่กินฉันผัวเมียกับ ด.ญ.14 ปีมาก่อนหน้านี้ อาจเข้าข่ายความผิดฐานพรากผู้เยาว์เช่นกัน” พ.ต.อ.คารม กล่าว
วันเดียวกัน นายศุภพงษา จันทรังษ์ รองผู้อำนวยการ สพป.นม.เขต 6 เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้สอบปากคำพยานหลายฝ่าย ทั้งพยานแวดล้อมและพยานบุคคล ซึ่งพยานบุคคลทุกราย ทั้งครูและเพื่อนนักเรียน ต่างให้การสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้คณะกรรมการสรุปผลการสอบสวนเบื้องต้นได้ว่า ผอ.โรงเรียนคนดังกล่าว มีพฤติกรรมฉันชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิง ม.2 จริง ซึ่งจะต้องทำรายงานผลการสืบสวนส่งให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนคราชสีมา ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานได้ในวันที่ 26 มกราคม เพื่อดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ผอ.รายนี้ต่อไป หากพบผิดจริงมีโทษทางวินัยร้ายแรงถึงขั้นปลดออก หรือไล่ออก โดยหลังจากนี้ ผอ.คนดังกล่าว รวมทั้งเด็กนักเรียนหญิงวัย 14 ปี ชั้น ม.2 ก็จะต้องไปให้ปากคำชี้แจงต่อคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมาแต่งตั้งขึ้นมาตามลำดับ
“จนถึงขณะนี้ ผอ.โรงเรียนผู้ถูกกล่าวหายังไม่เดินทางมารายงานตัวที่ สพป.นม.เขต 6 ตามคำสั่งย้ายมาช่วยราชการที่ สพป.นม.เขต 6 แต่อย่างใด โดยได้แจ้งทางโทรศัพท์ว่ายังอยู่ในช่วงการลาป่วย ส่วนเด็กนักเรียนหญิงที่เป็นข่าว ทราบจากผู้ปกครองว่าไปเยี่ยมยายที่ จ.สกลนคร ซึ่งทาง สพป.ต้องการให้กลับมาเรียนหนังสือตามเดิม” นายศุภพงษากล่าว
นายศุภพงษากล่าวต่อว่า จากนี้ไปจะเป็นการทำงานของศึกษาธิการจังหวัดที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงขึ้นมาดำเนินการต่อ ซึ่งจะสอบทั้ง ผอ.โรงเรียนที่ถูกกล่าวหา และเด็กนักเรียนหญิงด้วย เพื่อให้ได้ชี้แจงหรือนำหลักฐานมาแย้งกับสิ่งที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดแรกได้ข้อมูลมา หากชี้แจงได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากไม่มาชี้แจงหรือหลักฐานที่นำมาชี้แจงน้ำหนักไม่เพียงพอ ต้องรับผิดถูกลงโทษทางวินัยตามระเบียบกฎหมายต่อไป สำหรับการดำเนินการทางคดีอาญานั้น เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องดำเนินการ หากมีการประสานขอข้อมูลพยานหลักฐานเข้ามา ทาง สพป.ยินดีส่งมอบให้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ ผอ.โรงเรียนรายนี้ เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเด็กนักเรียนหญิงที่โรงเรียนเก่ามาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นถูกกล่าวหาว่าลวนลามเด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.6 และทาง สพป.นม.เขต 6 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและมีบทลงโทษทางวินัยด้วยการตัดเงินเดือน 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่วนความผิดทางอาญาสามารถเจรจาชดเชยค่าเสียหายกับผู้ปกครองเด็กเป็นเงิน 2 แสนบาท ก่อนที่เมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา จะมีคำสั่งย้ายผอ.โรงเรียนคนดังกล่าวออกจากโรงเรียนเก่ามาอยู่ที่โรงเรียนปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่ง สังกัด สพป.นม.เขต 6 ในฐานะกลุ่มเพื่อนผอ.โรงเรียนในสังกัดเดียวกัน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ข้าราชการครูระดับ ผอ. ย่อมรู้ดีทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัยว่า การไปยุ่งเกี่ยวฉันชู้สาวหรือใกล้ชิดสนิทสนมกับเด็กนักเรียนหญิงซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตนเองมากเกินไป ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง กรณี ผอ.คนดังกล่าวก็เช่นกัน รู้ทั้งรู้ว่าผิด แต่ก็ไม่ยอมหักห้ามใจ ยังฝ่าฝืนไปมีพฤติกรรมชู้สาวกับเด็กนักเรียน ในฐานะข้าราชการครูรู้สึกผิดหวังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ ผอ.โรงเรียนต้องเสื่อมเสีย และขอเรียกร้องให้หน่วยงานระดับจังหวัดเร่งดำเนินการเอาผิดทางวินัยให้ถึงที่สุดนั่นคือ ไล่ออกสถานเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้แม่ของนักเรียนชาย ม.3 อดีตแฟนของเด็กหญิง ม.2 ได้เดินทางไปพูดคุยกับแม่ของเด็กหญิงม.2 เพื่อให้แจ้งความดำเนินคดีกับ ผอ.ในฐานะผู้เสียหาย แต่แม่ของเด็กหญิงม.2 ไม่ยอม จึงเกิดการปะทะคารมโต้เถียงกันยกใหญ่ ก่อนที่แม่ของเด็กหญิง ม.2 จะหลุดปากออกมาว่า “ลูก_แต่งงานกับ ผอ.แล้ว” ซึ่งคำพูดดังกล่าวแม่ของนักเรียนชาย ม.3 เองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ และยังไม่มีอะไรมายืนยัน ต่อมาแม่ของเด็กหญิงม.2 ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจดำเนินการใดๆ โดยให้การตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับลูกสาวว่าจะเอาอย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า โรงเรียนดังกล่าวยังเปิดการเรียนการสอนตามปกติ แต่ครูที่โรงเรียนแจ้งว่ายังไม่สามารถติดต่อ ผอ.ได้ พบว่าปิดโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา ส่วนเด็กหญิงนักเรียน ม.2 ก็ยังไม่มาโรงเรียน และไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน
“ตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้ทั้ง ผอ.และเด็ก ม.2 ปิดมือถือตลอดเวลา ไม่แน่ใจว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน อย่างไร ทางโรงเรียนเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อสภาพจิตใจเด็ก กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และกระทบต่อการเรียนช่วงนี้ต้องสอบเก็บคะแนน ก็พยายามเร่งตามหาเด็ก อยากจะเจอตัวเป็นอยู่สบายดีหรือไม่ อยากให้รีบมาโรงเรียนโดยเร็วที่สุด” ครูคนหนึ่งกล่าว
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อ ผอ.ทางโทรศัพท์ หลังจากปิดโทรศัพท์มาหลายวัน ปรากฏว่า ผอ.รับสาย และตอบกลับมาว่า ไม่สบาย กำลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จากนั้นได้ตัดสายทิ้งไปก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือ
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก – คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/news/crime/310802