พบอาวุธสงคราม 1 ใน 2 กระบอก ถูกปล้นมาจากค่ายปีเหล็ง อ.เจาะไอร้อง เมื่อ 4 ม.ค.47
ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส พล.ต.สมพล ปานกุล ผบ.ฉก.นราธิวาส พ.ต.อ.ธวัชชัย ดุกสุกแก้ว รอง ผบก.ภ.จ.นราธิวาส พ.อ.จรูญ จตุรงค์ ผบ.ฉก.ทพ.49 พ.ต.อ.สุธน สุขวิเศษ ผกก.สภ.ศรีสาคร และนายกริช น้อยผา นายอำเภอศรีสาคร ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีผู้ก่อความไม่สงบได้ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บ 3 นาย และเสียชีวิตอีก 1 นาย
พ.อ.จรูญ จตุรงค์ ผบ.ฉก.ทพ.49 อ.ศรีสาคร กล่าวว่า ผลจากการตรวจสอบของอาวุธปืนสงครามชนิด M.16 ที่ยึดมาได้ จำนวน 2 กระบอก พบว่า อาวุธปืนสงครามชนิด M.16 รุ่น A 1 แบบยาว หมายเลขปืน 745138 เป็นอาวุธปืนที่ถูกคนร้ายปล้นมาจากค่ายพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปีเหล็ง อ.เจาะไอร้อง เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 และอาวุธปืนสงคราม M.16 อีก 1 กระบอกถูกนำมาดับแปลงเป็นแบบสั้น โดยขีดลบเลขปีไว้ จึงต้องทำการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่งถึงจะรู้ถึงที่มาที่ไปได้อย่างละเอียด ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบวัตถุระเบิด เช่น ถังแก้สปิกนิก ขนาด 15 กก.นั้น เป็นอุปกรณ์ระเบิดที่สามารถนำไปใช้งานได้อยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่เตรียมจะนำมาใช้วางดักเจ้าหน้าที่อีกระลอก อีกทั้งอาวุธปืนที่ยึดมาได้ จำนวน 2 กระบอกนั้น คาดว่าจะถูกเตรียมไว้เพื่อนำออกมาใช้งานในพื้นที่ แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่าพบมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมผู้ก่อเหตุความไม่สงบนำอาวุธชุดดังกล่าวมาซ่อนไว้เพื่อเตรียมใช้งาน
ด้าน พ.ต.อ.สุธน สุขวิเศษ ผกก.สภ.ศรีสาคร กล่าวว่า อาวุธปืนสงครามทั้ง 2 กระบอก และอุปกรณ์การประกองวัตถุระเบิดที่ตรวจยึดมาได้ในครั้งนี้นั้น ได้ส่งหลักฐานทั้งหมดไปยังเจ้าหน้าที่ชุดตรวจพิสูจน์หลักฐาน 10 ทำการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงที่ติดตามหลักฐานต่างๆ เช่น ปลอกกระสุน ในที่เกิดเหตุ รวมถึงตรวจเก็บ DNA ที่ติดตามหลักฐานทั้งเก่าและใหม่ที่ตรวจยึดมาได้ เช่น อาวุธปืน ถังแก้ส กระสุนปืน เหล็กเส้นตัดสั้น เพื่อเชื่อมโยงไปยังผู้ต้องสงสัย และทำการตรวจขยายผลว่า อาวุธปืนทั้ง 2 กระบอก ถูกนำไปใช้ก่อเหตุที่ใดบ้าง เพื่อง่ายต่อการขยายผลไปยังผู้ที่นำอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอก ปรากฏ DNA ตรงกับผู้ต้องสงสัยรายใดด้าน พล.ต.สมพล ปานกุล ผบ.ฉก.นราธิวาส กล่าวว่า ขอบอกข่าวไปยังผู้เห็นต่างและครอบครัวที่ยังไม่เข้าใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐขอให้ออกมาพูดคุยกันโดยใช้แนวทางที่สามารถพูดคุยกันได้เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ หรือหากมีการก่อเหตุความรุนแรงขึ้นก็ขออย่าให้ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับเคราะห์แทนเจ้าหน้าที่ โดยแนวทางของ กอ.รมน.ภาค 4 ต้องการให้ผู้เห็นต่างที่มีความขัดแย้งอยู่บ้างนั้นให้ออกมาพบมารายงานตัวเพื่อพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการที่จะกลับมาอยู่ในสังคมของตัวเองร่วมต่อสู้ในเรื่องของคดีความที่ตัวเองคิดว่าถูกข้อกล่าวหาเพื่อยืนยันแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการของกฏหมายตามโครงการพาคนกลับบ้าน หรือโดยทางแม่ทัพภาคที่ 4 ยินดีที่จะเป็นธุระมารับตัวด้วยตัวเองเพื่อกลับมาสู่ครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกันกลับมาพัฒนาชาติไทย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านกว่า 10 ปี ไม่มีใครได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแต่ศูนย์เสีย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ภาครัฐพยายามทำความเข้าใจและไม่ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการก่อเหตุขึ้นเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฏหมายติดตามจับกุมผู้กระทำผิดและรับผลกรรมที่ก่อ จึงขอฝากพี่น้องประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะให้ที่พักพิงกับผู้ก่อเหตุต้องมีความผิดด้วย ฉะนั้นอยากให้ออกมาพูดคุยกันเพื่อเลี่ยงความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าเจ้าหน้าที่หรือประชาชนรวมถึงผู้เห็นต่างด้วย ซึ่งทางกองทัพยินดีรับฟังและมาร่วมหาแนวทางที่ถูกต้องเพื่อความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่
ภาพ/ข่าว ซาการียา ดอเลาะ จ.นราธิวาส
แหล่งข่าวจาก – ข่าวชัดประเด็นจริง http://www.khaochad.com/155121?r=1&width=1600