เมื่อ 2 ต.ค. บีบีซีรายงานการสืบหาประวัตินายสตีเฟน แพดด็อก ชาวอเมริกันผิวขาว อายุ 64 ปี ผู้ก่อเหตุกราดยิงฝูงชนเสียชีวิต 59 ราย บาดเจ็บเกิน 500 คนในคอนเสิร์ตที่ลาสเวกัส จากอาคารชั้นที่ 32 ของโรงแรมและกาสิโนมัณฑะเลย์ เบย์ ในนครลาสเวกัส เมื่อ 1 ต.ค. ก่อนฆ่าตัวตายนั้น พบว่าไม่เคยมีแววว่าจะก่อเหตุร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกายุคใหม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่พบประวัติว่ามีปัญหาจากอาการทางจิต
ในสายตาเพื่อนบ้าน ที่เมืองเมสคีต รัฐเนวาดา นายแพดด็อกดูเป็นคนแปลกพิลึก และเป็นนักพนันมืออาชีพ
ส่วนตำรวจสอบพบว่า มือปืนรายนี้มีใบอนุญาตขับขี่เครื่องบิน มีใบอนุญาตล่าสัตว์ ไม่มีประวัติทางอาชญากรรม แค่ละเมิดกฎจราจร และไม่พบความเกี่ยวโยงใดๆ เลยกับองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ หลังจากที่กลุ่มไอเอสกล่าวอ้างว่าเป็นผู้บงการก่อเหตุ
จากการเปิดเผยของนายเอริก แพดด็อก น้องชายของมือปืน จึงทราบว่านายสตีเฟน แพดด็อกเคยทำงานเป็นพนักงานบัญชี ขณะที่พ่อเป็นโจรปล้นธนาคาร และถูกเอฟบีไอขึ้นบัญชีตามล่า ติดป้ายไปทั่วเมืองในปี 2512 ในฐานะบุคคลหนึ่งใน 10 ที่เอฟบีไอต้องการตัวมากที่สุด ทั้งยังมีประวัติแหกคุก และมีอาการทางจิต
อย่างไรก็ตาม นายเอริกไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะก่อเหตุรุนแรงแบบนี้ได้ ไม่เข้าใจ และนึกหาเหตุผลไม่ออกจริงๆ เพราะพี่เป็นคนใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย เป็นนักพนันตัวยง ทุ่มเงินเล่นพนันในกาสิโนสูงมาก จึงได้ห้องและอาหารฟรีจากบ่อนกาสิโนอยู่บ่อยๆ พอได้เงินมาเยอะๆ ก็ไปล่องเรือสำราญและพนันอีก
นายเอริกกล่าวด้วยว่า พี่ชายไม่ได้คลั่งไคล้ปืน ไม่มีประวัติด้านการทหาร ไม่มีแนวนิยมทางการเมือง คาดว่าปืนที่พบในห้องบนชั้น 32 ของอาคารก่อเหตุ เป็นไรเฟิลกว่า 10 กระบอกนั้นน่าจะไปฉวยมาจากที่ใดสักแห่ง เพราะเป็นคนคิดทำอะไรปุบปับ
จากรายงานของเอ็นบีซี นายแพดด็อกเพิ่งไปโอนเงินพนันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ แต่ไม่แน่ชัดว่าได้หรือเสียจากการเล่นพนัน
นายบรูซ แพดด็อก น้องอีกคนกล่าวว่า พี่ชายหารายได้จากการเปิดให้เช่าอาคารอพาร์ตเมนต์ ที่เป็นเจ้าของและจัดการร่วมกับแม่ ซึ่งอาศัยอยู่รัฐฟลอริดา
ส่วนนายแพดด็อกเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านพักชื่อแบ็บบลิง บรูก คอร์ต ในเมืองเรโน เมื่อเดือยมิ.ย.2559 โดยอยู่กับนางมาริลู แดนลีย์ เพื่อนหญิง อายุ 62 ปี ซึ่งตำรวจตามตัวพบแล้วว่าอยู่ต่างประเทศในช่วงเกิดเหตุ ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ กับนายแพดด็อก
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก – ข่าวสด https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_545184